st127 - page 22
๑๓
(๓) การเรี
ยนรู
การเรี
ยนรู
ประสบการณ
ต
าง ๆ และการปรั
บตั
วให
เข
ากั
บสถานการณ
แวดล
อมเป
น
มู
ลเหตุ
เบื้
องต
นที่
ทํ
าให
เกิ
ดการเปลี่
ยนแปลงพฤติ
กรรม ซึ่
งอาจจะไม
ตั้
งใจที่
จะเรี
ยนรู
รู
ปแบบของวั
ฒนธรรมของ
ผู
อื่
น แต
ก็
มั
กจะปฏิ
บั
ติ
ตามเงื่
อนไขของสั
งคมด
วยการเรี
ยนรู
สิ่
งแปลกใหม
และประพฤติ
ปฏิ
บั
ติ
ตาม การปฏิ
บั
ติ
ซ้ํ
า
ๆ การสั
งเกตการณ
และการเรี
ยนหรื
อศึ
กษาโดยตรงเป
นที่
มาของการเรี
ยนรู
สั
งคมและการเปลี่
ยนแปลงทาง
วั
ฒนธรรมอย
างหนึ่
ง
(๔) การเปลี่
ยนแปลงนิ
สั
ย กิ
จวั
ตร หรื
อพฤติ
กรรมโดยอั
ตโนมั
ติ
มนุ
ษย
จะมี
การศึ
กษาเปลี่
ยนแปลง
และพั
ฒนาพฤติ
กรรมกิ
จวั
ตรและนิ
สั
ยโดยไม
รู
ตั
วอยู
ทุ
กเวลานาที
นั่
นคื
อไม
มี
การเปลี่
ยนแปลงพฤติ
กรรมเกิ
ดขึ้
น
แล
ว บางครั้
งบุ
คคลอาจจะรู
ตั
ว และจงใจยกเลิ
กรู
ปแบบพฤติ
กรรมเก
า ๆ ก็
ได
ทั้
งนี้
เนื่
องจากการเบื่
อความ
ซ้ํ
าซากและจํ
าเจ ซึ่
งการเปลี่
ยนแปลงพฤติ
กรรมทั้
งสองรู
ปแบบจะเกิ
ดขึ้
นโดยธรรมชาติ
(๕) การเลี
ยนแบบ มนุ
ษย
จะมี
การเลี
ยนแบบกั
นอย
างไม
ตั้
งใจอยู
เสมอ เช
น การเลี
ยนแบบท
าทาง
สํ
านวนการพู
ด การแต
งกาย ฯลฯ ซึ่
งอาจเกิ
ดขึ้
นโดยไม
ได
มี
การเรี
ยนรู
แบบอย
างมาก
อน การเลี
ยนแบบเป
นเรื่
อง
ของบุ
คคลและกลุ
ม เป
นการรั
บเอาวั
ฒนธรรมใหม
มาใช
เป
นการยอมรั
บหรื
อเป
นการสร
างสิ่
งใหม
ๆหรื
อเป
นการ
หยิ
บยื
มวั
ฒนธรรมที่
แพร
กระจายจากต
างถิ่
นมาใช
โดยนํ
ามาดั
ดแปลงให
เข
ากั
บวั
ฒนธรรมของตนจนเกิ
ดเป
น
วั
ฒนธรรมรู
ปแบบใหม
ขึ้
น
(๖) ความคิ
ดเห็
น เป
นข
อสั
นนิ
ษฐานหรื
อขบวนการเสนอความคิ
ดเห็
นและการเปรี
ยบเที
ยบเรื่
องใด
เรื่
องหนึ่
งให
ผู
อื่
นฟ
ง การใช
ความรู
สึ
กส
วนตั
วตั
ดสิ
นเหตุ
การณ
และผู
อื่
น โดยที่
ไม
ได
เกิ
ดจากการเรี
ยนรู
ถึ
งความ
จริ
งและประสบการณ
ที่
เกี่
ยวกั
บเรื่
องนั้
นๆ เพี
ยงพอ หรื
อเป
นการเสนอความคิ
ดเห็
นต
อสาธารณะ ซึ่
งทํ
าให
ผู
อื่
น
ติ
ดตามคล
อยตามจะก
อให
เกิ
ดการเปลี่
ยนแปลงทั
ศนคติ
ความเชื่
อ ความรู
ค
านิ
ยมของผู
อื่
นได
(๗) การโยกย
ายถิ่
น เป
นอี
กสาเหตุ
หนึ่
งที่
ทํ
าให
มี
การเปลี่
ยนแปลงได
การโยกย
ายที่
อยู
อาศั
ยไปยั
ง
แหล
งใหม
ต
องมี
การปรั
บตั
วเพื่
อให
สอดคล
องเข
ากั
นได
กั
บสถานที่
ใหม
และกลุ
มคนใหม
ยอมรั
บเข
าพวกและจะไป
มี
ผลให
วั
ฒนธรรมของผู
ที่
ย
ายมาใหม
เกิ
ดการเปลี่
ยนแปลงไปที
ละน
อยจนเป
นที่
สั
งเกตเห็
นได
ที่
สุ
ด
(๘) สภาวะจิ
ตไร
สํ
านึ
ก สภาวะจิ
ตไร
สํ
านึ
กจะบงการพฤติ
กรรมโดยอั
ตโนมั
ติ
สภาวการณ
เช
นนี้
เกิ
ดจาก
ความเคยชิ
นในกฎระเบี
ยบต
างๆ ของสั
งคมที่
ฝ
งใจมาตั้
งแต
ยั
งเป
นเด็
กจึ
งมั
กกระทํ
าการใดๆ โดยอั
ตโนมั
ติ
และไม
รู
ตั
ว นอกจากนี้
การต
องการยอมรั
บจากผู
อื่
นจึ
งต
องเปลี่
ยนแปลงพฤติ
กรรมตามผู
อื่
น ซึ่
งจะเกิ
ดขึ้
นในตั
วของ
มนุ
ษย
เองโดยไม
รู
ตั
วและเป
นกลไกที่
สนั
บสนุ
นการเปลี่
ยนแปลงทางวั
ฒนธรรมและสั
งคมในเชิ
งนามธรรม เช
น
การเปลี่
ยนแปลงบรรทั
ดฐานและวั
ฒนธรรมพื้
นฐานต
างๆ การเปลี่
ยนแปลงที่
เกิ
ดขึ้
นเองนี้
จะเป
นไปได
มากน
อย
เพี
ยงใดขึ้
นอยู
กั
บอั
ตราความเข
มแข็
งหรื
ออ
อนแอของวั
ฒนธรรมนั้
น ๆ ค
านิ
ยมของประชาชนนั้
นเปลี่
ยนยากมาก
ต
องอาศั
ยระยะเวลายาวนาน เพราะบุ
คคลได
สั่
งสมค
านิ
ยมของตนเป
นเวลานานมาก
อนการเปลี่
ยนแปลงแบบไม
รู
ตั
วเป
นการเปลี่
ยนแปลงค
านิ
ยมของบุ
คคลซึ่
งค
อยๆ เปลี่
ยนไปที
ละน
อย
(๙) การสร
างความรู
สึ
กร
วมและความผู
กพั
นทางสั
งคม ความรู
สึ
กร
วมและความผู
กพั
นทางสั
งคมทํ
า
ให
เกิ
ดการเปลี่
ยนแปลงทางวั
ฒนธรรมขึ้
นได
เพราะพฤติ
กรรมของกลุ
มสั
งคมที่
มี
การรั
บอารมณ
และแสดงออก
1...,12,13,14,15,16,17,18,19,20,21
23,24,25,26,27,28,29,30,31,32,...92