st127 - page 18

จากหลั
กฐานที่
กล
าวมาข
างต
น จะเห็
นว
าประเพณี
การแข
งเรื
อที่
ปรากฏเป
นหลั
กฐานนั้
น มี
มาตั้
งแต
สมั
กรุ
งศรี
อยุ
ธยาเป
นราชธานี
เป
นต
นมา โดยเฉพาะช
วงน้ํ
าเหนื
อหลาก ถึ
งฤดู
กาลทอดกฐิ
นตามวั
ดวาอารามต
างๆ
นั่
นก็
หมายถึ
งประเพณี
การแข
งเรื
อได
เริ่
มต
นขึ้
นเช
นกั
นนั
บเป
นเวลาร
อยกว
าป
แล
วจากอดี
ตจนถึ
งป
จจุ
บั
นที่
มี
การ
แข
งเรื
ทุ
กวั
นนี้
ประเพณี
การแข
งเรื
อจะมี
อยู
เกื
อบทุ
กภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะเรื
อที่
ใช
ในการแข
งขั
จะเป
นเรื
อยาวเกื
อบทั้
งหมด สนามแข
งขั
นที่
มี
ชื่
อเสี
ยงทางภาคเหนื
อ ได
แก
จั
งหวั
ดน
าน พิ
ษณุ
โลก พิ
จิ
ตร
นครสวรรค
ภาคกลาง ได
แก
ชั
ยนาท สิ
งห
บุ
รี
อ
างทอง สระบุ
รี
พระนครศรี
อยุ
ธยา กรุ
งเทพมหานคร นครปฐม
ภาคตะวั
นออกเฉี
ยงเหนื
อ ได
แก
บุ
รี
รั
มย
อุ
บลราชธานี
ภาคตะวั
นออก ได
แก
ปราจี
นบุ
รี
ฉะเชิ
งเทรา และภาคใต
ได
แก
ชุ
มพร สุ
ราษฎร
ธานี
๒. แนวคิ
ด ทฤษฎี
ที่
เกี่
ยวกั
บการเปลี่
ยนแปลงวั
ฒนธรรม
ความต
องการของมนุ
ษย
มี
อยู
หลายระดั
บ ระดั
บแรกคื
อความต
องการขั้
นมู
ลฐานทางชี
ววิ
ทยา ความ
ต
องการในขั้
นนี้
เป
นความต
องการเช
นเดี
ยวกั
บที่
มี
อยู
ในสั
ตว
ทั่
วๆ ไป เช
น การกิ
นอาหารเพื่
อตอบสนองความหิ
กระหาย ซึ่
งการกระทํ
าในขั้
นนี้
ทั้
งมนุ
ษย
และสั
ตว
จะเกิ
ดจากสั
ญชาตญาณ ความต
องการขั้
นต
อมาของมนุ
ษย
(ไม
มี
ในสั
ตว
) คื
อความต
องการซึ่
งเกิ
ดขึ้
นเมื่
อความต
องการขั้
นแรกได
รั
บการตอบสนองแล
ว ซึ่
งจะเกิ
ดขึ้
นเมื่
มนุ
ษย
ได
เข
ามาอยู
รวมกั
นเป
นชมรม เป
นกลุ
ม ความต
องการในขั้
นนี้
คื
อความต
องการทางสั
งคม อั
นเป
นความ
ต
องการเพื่
อตอบสนองความสุ
ขทางกาย และจรรโลงใจ ความต
องการในขั้
นนี้
ของมนุ
ษย
นี้
เองที่
ทํ
าให
เกิ
วั
ฒนธรรม ด
วยเหตุ
นี้
วั
ฒนธรรมจึ
งเป
นวิ
ถี
ชี
วิ
ตที่
มนุ
ษย
ได
พั
ฒนาและสร
างสรรค
ขึ้
น และใช
เป
นเครื่
องมื
อในการ
ดํ
าเนิ
นวิ
ถี
ชี
วิ
ตป
องกั
นและแก
ไขป
ญหา รวมทั้
งใช
ในการพั
ฒนาคุ
ณภาพชี
วิ
ต ซึ่
งเป
นศั
กยภาพและทุ
นที่
สํ
าคั
ญยิ่
ของมนุ
ษย
ที่
ได
แสดงออกในรู
ปแบบและวิ
ธี
ต
างๆ ทั้
งในรู
ปแบบของวิ
ถี
ชี
วิ
ต ขนบธรรมเนี
ยม ประเพณี
ภู
มิ
ป
ญญา เครื่
องมื
อเครื่
องใช
ในการทํ
ามาหากิ
น ความเชื่
อและอื่
นๆ อี
กมาก
๑) ความหมายของคํ
าว
าวั
ฒนธรรม
คํ
าว
า วั
ฒนธรรม มาจากคํ
าว
า Culture ซึ่
งพลตรี
พระเจ
าวรวงศ
เธอ กรมหมื่
นนราธิ
ปพงศ
ประพั
นธ
ทรงบั
ญญั
ติ
ขึ้
น โดยทรงอธิ
บายว
า “คํ
าว
า วั
ฒนธรรม นี้
ได
ผู
กขึ้
นเพื่
อให
มี
ความหมายตรงกั
บคํ
าว
า Culture
หมายความว
า เพาะปลู
กให
งอกงาม เป
นการแสดงถึ
งความเจริ
ญงอกงามซึ่
งเปรี
ยบได
กั
บการเพาะปลู
กพั
นธุ
ไม
ให
งอกงาม ผลิ
ดอกออกผลเพื่
อประโยชน
แก
มนุ
ษย
ในอั
นจะใช
ให
เป
นประโยชน
แก
ตนได
ไม
ว
าในทางกาย เช
นการใช
บริ
โภคหรื
อใช
ประกอบทํ
าสิ่
งของเครื่
องใช
ที่
มนุ
ษย
จะใช
ได
หรื
อทางใจ เช
นการชมในฐานะที่
เป
นสิ่
งเจริ
ญตาเจริ
ใจ เป
นต
น และการเพาะเลี้
ยงสั
ตว
ให
เจริ
ญงอกงามก็
มี
ลั
กษณะคล
ายคลึ
งกั
น จึ
งรวมอยู
ในภาคความคิ
ดของคํ
าว
culture นี้
ด
วยเหมื
อนกั
น วั
ฒนะ หมายถึ
ง ความเจริ
ญงอกงามดั
งที่
กล
าวมานี้
ฉะนั้
น ภู
มิ
ธรรมแห
งความเจริ
งอกงาม ซึ่
งได
แก
Culture จึ
งได
ใช
คํ
าว
า วั
ฒนธรรม” (คณะกรรมการวั
ฒนธรรมแห
งชาติ
. ๒๕๔๗ : ๑)
1...,8,9,10,11,12,13,14,15,16,17 19,20,21,22,23,24,25,26,27,28,...92
Powered by FlippingBook