bk129 - page 16

8
วั
ดบวรนิ
เวศวิ
หาร ตึ
กสภาการศึ
กษามหามกุ
ฏราชวิ
ทยาลั
ย ซึ
งมี
ตั
วแทนแม่
ชี
ทั
งหมดประมาณ
1,000ท่
านและมี
มติ
ร่
วมกั
นจั
ดตั
งสมาคมของคณะแม่
ชี
ไทยขึ
นภายใต้
ชื่
อว่
า “สถาบั
นแม่
ชี
ไทย” ร่
าง
กฎระเบี
ยบขึ
นใช้
มี
วั
ตถุ
ประสงค์
คื
อ เพื่
อให้
แม่
ชี
ทั
งหลายมี
ระเบี
ยบปฏิ
บั
ติ
ตรงกั
น จั
ดให้
มี
การ
คั
ดเลื
อกคณะกรรมการบริ
หารสถาบั
นแม่
ชี
ไทย 25ท่
านดํ
ารงตํ
าแหน่
งตามวาระครั
งละ 4ปี
ในสมั
นั
นท่
านอธิ
บดี
ปิ
น มุ
ทุ
กั
นต์
ซึ
งได้
รั
บเชิ
ญมาร่
วมประชุ
ม ได้
เสนอให้
ใช้
คํ
าว่
า “แม่
ชี
” เรี
ยกผู
ถื
อบวช
เพื่
อเป็
นการจั
ดสรรส่
วนของอุ
บาสิ
กา ในฐานพุ
ทธบริ
ษั
ทส่
วนหนึ
ง ซึ
งมี
ทั
งครองเรื
องและไม่
ครอง
เรื
อน ผู
ที่
ไม่
ครองเรื
อนควรจะเรี
ยกว่
า “แม่
ชี
” จึ
งได้
ชื่
อนี
มานํ
าหน้
าสตรี
ผู
ถื
อบวชตั
งแต่
บั
ดนั
นเป็
ต้
นมา การดํ
าเนิ
นกิ
จกรรมของสถาบั
นแม่
ชี
ไทยได้
เป็
นไปอย่
างต่
อเนื่
อง เพราะได้
จั
ดตั
งเป็
นทุ
มู
ลนิ
ธิ
โดยจดทะเบี
ยนเป็
นนิ
ติ
บุ
คคลเมื่
อวั
นที่
30 เมษายน 2515 สมเด็
จพระนางเจ้
พระบรมราชิ
นี
นาถทรงมี
พระมหากรุ
ณาธิ
คุ
ณรั
บมู
ลนิ
ธิ
สถาบั
นแม่
ชี
ไทยไว้
ในพระบรมราชิ
นู
ปถั
มภ์
เมื่
อวั
นที่
19 มี
นาคมพ.ศ. 2520 และได้
รั
บการจดทะเบี
ยนให้
ถู
กต้
องตามกฎหมายในพระบรม
ราชิ
นู
ปถั
มภ์
เมื่
อ วั
นที่
19 ธั
นวาคม 2528 แม่
ชี
อรุ
ณ เพชรอุ
ไร ได้
กล่
าวถึ
ง การประชุ
มใหญ่
ประจํ
าปี
2515 ของสถาบั
นแม่
ชี
ไทยครั
งที่
3 วั
นที่
6 เมษายน พ.ศ. 2515 ได้
มี
การกราบบั
งคม
ทู
ลเชิ
ญสมเด็
จพระนางเจ้
าฯพระบรมราชิ
นี
นาถเสด็
จมาทรงเป็
นองค์
ประธาน ได้
มี
พระราชดํ
ารั
สใน
ที่
ประชุ
มว่
“แม่
ชี
เป็
นผู
ทรงศี
ลสามารถที่
จะทํ
าประโยชน์
ให้
แก่
สั
งคมได้
ถ้
าแม่
ชี
จะได้
พั
ฒนาตนเอง
ให้
เป็
นผู
ความสามารถ”
ซึ
งคณะแม่
ชี
ได้
น้
อมนํ
าพระราชดํ
ารั
สนี
มาเป็
นแรงจู
งใจในการทํ
างานและ
อุ
ทิ
ศตนเพื่
อชาติ
ศาสนาและสถาบั
นพระมหากษั
ตริ
ย์
อี
กทั
งเป็
นการพั
ฒนาตั
วแม่
ชี
เพื่
อให้
มี
ความรู
ความสามารถ ในการช่
วยเหลื
อมนุ
ษย์
และพั
ฒนาสั
งคม อย่
างไรก็
ตามแม่
ชี
ก็
เป็
นส่
วนหนึ
งของพุ
ทธ
บริ
ษั
ท มี
ความศรั
ทธาเชื่
อมั่
นอย่
างแรงกล้
าในพระรั
ตนตรั
ย สละบ้
าน เรื
อน
โกนผม โกนคิ
วนุ่
งขาวห่
มขาว อุ
ทิ
ศชี
วิ
ตเพื่
อเป็
นพุ
ทธบู
ชาผู
ที่
มี
อํ
านาจเกี่
ยวข้
องน่
าจะพิ
จารณา
ทรั
พยากรบุ
คคลในส่
วนนี
ให้
เป็
นประโยชน์
ต่
อพระพุ
ทธศาสนาให้
มากที่
สุ
ดเท่
าที่
จะมากได้
และหาก
แม่
ชี
ได้
รั
บการศึ
กษาทางโลกและทางธรรมเพื่
อสามารถมองเห็
นปั
ญหาที่
แท้
จริ
งที่
เกิ
ดขึ
นทั
งภายใน
และภายนอกการจั
ดการศึ
กษาตลอดชี
วิ
ตในรู
ปแบบการศึ
กษานอกระบบโรงเรี
ยนซึ
งเข้
ามาส่
วน
ส่
งเสริ
มและสนั
บสนุ
นพั
ฒนาในทุ
กด้
านเพื่
อให้
แม่
ชี
สามารถพั
ฒนาตนเองได้
ในสภาพสั
งคมที่
กํ
าลั
เปลี่
ยนแปลงสอดคล้
องกั
บสํ
านั
กงานบริ
หารงานการศึ
กษานอกระบบโรงเรี
ยน (2551) ระบุ
ว่
า การ
จั
ดการศึ
กษานอกระบบโรงเรี
ยนสํ
าหรั
บกลุ่
มเป้
าหมาย เพื่
อให้
มี
คุ
ณธรรมนํ
าความรู
และมี
ทั
กษะการ
ดํ
าเนิ
นชี
วิ
ตโดยการพั
ฒนาศั
กยภาพการเรี
ยนรู
ของประชาชนการเพิ่
มศั
กยภาพการจั
ดการความรู
ของ
ชุ
มชนและการเข้
าถึ
งกลุ่
มเป้
าหมาย ดั
งนั
นการจั
ดการศึ
กษานอกระบบโรงเรี
ยนสํ
าหรั
บแม่
ชี
จึ
งควร
เป็
นการจั
ดการศึ
กษาที
ตอบสนองความต้
องการของแม่
ชี
โดยต้
องสํ
ารวจความต้
องการการเรี
ยนรู
ตามสภาพจริ
งของกลุ
มแม่
ชี
ซึ
งสอดคล้
องกั
บ Boyle (1981)ที
กล่
าวถึ
งการพั
ฒนาโปรแกรม
1...,6,7,8,9,10,11,12,13,14,15 17,18,19,20,21,22,23,24,25,26,...409
Powered by FlippingBook