sp104 - page 26

บทที่
๒ เอกสารและงานวิ
จั
ยที่
เกี่
ยวข้
อง
::
๑๘
ร่
วมที่
แฝงไว้
ในค่
านิ
ยมทั้
ง ๒ ชุ
ด แต่
อย่
างไรก็
ตาม ไม่
ควรจะคาดว่
ามี
ความสั
มพั
นธ์
ง่
ายๆ แบบหนึ่
งต่
หนึ่
ง (Sample One-to-One Relationship) บุ
คคลหนึ่
งซึ่
งมี
ค่
านิ
ยมจุ
ดหมายปลายทางที่
เน้
นด้
าน
ส่
วนบุ
คคล (เช่
น “ความสงบสุ
ขทางจิ
ตใจ”หรื
อ “ความภาคภู
มิ
ใจในตน” ฯลฯ) อาจจะให้
ค่
านิ
ยมทาง
จริ
ยธรรมสู
ง (เช่
น “ความกตั
ญญู
”หรื
อ “การรั
กษาน้
าใจกั
น”) ก็
เป็
นไปได้
หรื
อบุ
คคลหนึ่
งที่
มี
ค่
านิ
ยม
จุ
ดปลายทางที่
กระเดี
ยดไปทางสั
งคมมากกว่
า (เช่
น “ความกว้
างขวางในสั
งคม”) ก็
อาจจะให้
ค่
านิ
ยมวิ
ถี
ปฏิ
บั
ติ
ส่
วนที่
เน้
นความสามารถส่
วนบุ
คคลก็
ได้
อนึ่
งธรรมชาติ
ของค่
านิ
ยม เป็
นสิ่
งที่
มี
ลั
กษณะสม่
าเสมอและคงที่
กล่
าวคื
อ เปลี่
ยนแปลงได้
ยาก
สิ่
งนี้
เองจึ
งเป็
นสาเหตุ
ที่
ทาให้
บุ
คลิ
กภาพของกลุ่
มคนในสั
งคมหนึ่
งแตกต่
างจากอี
กสั
งคมหนึ่
ง ทาให้
เกิ
ลั
กษณะประจากลุ่
มหรื
อลั
กษณะประจาชาติ
เป็
นค่
านิ
ยมที่
บุ
คคลจั
ดว่
าสาคั
ญมาก อี
กทั้
งค่
านิ
ยมที่
มี
ความสาคั
ญหรื
อมี
ลั
กษณะประจาชาติ
เป็
นสิ่
งที่
เปลี่
ยนแปลงได้
ยากกว่
าค่
านิ
ยมที่
มี
ความสาคั
ญน้
อย สิ่
งนี้
จึ
งทาให้
การเปลี่
ยนแปลงค่
านิ
ยมจึ
งไม่
ใช่
เรื่
องง่
ายตามอารมณ์
ของบุ
คคล จากที่
กล่
าวมานี้
จึ
งนาไปสู่
ค่
านิ
ยมที่
มี
ลั
กษณะเปรี
ยบเที
ยบระดั
บความสาคั
ญ ซึ่
งเป็
นการปลู
กฝั
งค่
านิ
ยมให้
แก่
นั
กเรี
ยนจากการ
อบรมและเรี
ยนรู้
แต่
ละคนจะได้
รั
บการเน้
นถึ
งความสาคั
ญของค่
านิ
ยมแตกต่
างกั
น เช่
น บางสั
งคมให้
ความสาคั
ญกั
บการตรงต่
อเวลา ในขณะที่
อี
กสั
งคมหนึ่
งเห็
นว่
าสาคั
ญ แต่
ยั
งรองๆ ลงไปกว่
าความ
ซื่
อสั
ตย์
กตั
ญญู
บุ
คคลเกิ
ด การเปรี
ยบเที
ยบระดั
บความสาคั
ญของค่
านิ
ยมต่
างๆ จากประสบการณ์
ที่
เขาได้
รั
บตั้
งแต่
วั
ยเด็
ก ทาให้
เกิ
ดการเรี
ยนรู้
ที่
จะแยกแยะพวกค่
านิ
ยมที่
ได้
รั
บการสั่
งสอนมาอย่
างเต็
มที่
แล้
ว จั
ดเป็
นระดั
บสู
งต่
ารวมเข้
าเป็
นระบบซึ่
งมี
การเรี
ยงลาดั
บความสาคั
ญมากที่
สุ
ดไปหาน้
อยที่
สุ
นั
กวิ
ชาการต่
างประเทศท่
านอื่
นได้
ทาการศึ
กษาเกี่
ยวกั
บระบบค่
านิ
ยมและสั
งคม และทาการ
จาแนกค่
านิ
ยมออกเป็
น ๖ ประเภท (GordowW. Allport and Leo Postman, ๑๙๖๕) คื
๑)
ค่
านิ
ยมตามแนวทฤษฎี
(Theoretical) หมายถึ
งค่
านิ
ยมที่
ให้
ความสาคั
ญกั
บการหาความ
จริ
ง (Truth) ที่
สามารถพิ
สู
จน์
หรื
อตรวจสอบได้
ตามหลั
กเหตุ
ผล และการคิ
ดอย่
างเป็
ระบบ
๒)
ค่
านิ
ยมตามแนวเศรษฐกิ
จ (Economic) หมายถึ
งค่
านิ
ยมที่
ให้
ความสาคั
ญกั
บการใช้
งานและผลประโยชน์
ที่
ได้
รั
บ ซึ่
งมั
กจะเป็
นผลประโยชน์
ทางเศรษฐกิ
จหรื
อการสร้
างความ
มั่
นคง
๓)
ค่
านิ
ยมตามแนวทางสุ
นทรี
ยศาสตร์
(Aesthetic) หมายถึ
งค่
านิ
ยมที่
ให้
ความสาคั
ญกั
ศิ
ลปะ ความงาม รู
ปแบบ และการแสดงออกที่
สอดคล้
องกั
บสถานการณ์
๔)
ค่
านิ
ยมตามแนวสั
งคม (Social) หมายถึ
งค่
านิ
ยมที่
ให้
ความสาคั
ญต่
อความผู
กพั
น มนุ
ษย์
สั
มพั
นธ์
และการอยู่
ร่
วมกั
นของส่
วนรวม
๕)
ค่
านิ
ยมตามแนวการเมื
อง (Political) หมายถึ
งค่
านิ
ยมที่
ให้
ความสาคั
ญต่
อการได้
มา การ
ธารงรั
กษา และการใช้
อานาจเหนื
อบุ
คคลอื่
น ยกย่
องความมี
อิ
ทธิ
พลและอานาจ ไม่
ว่
าจะ
ได้
มาโดยชอบธรรมหรื
อก็
ตาม
1...,16,17,18,19,20,21,22,23,24,25 27,28,29,30,31,32,33,34,35,36,...216
Powered by FlippingBook