sp104 - page 21

บทที่
๒ เอกสารและงานวิ
จั
ยที่
เกี่
ยวข้
อง
::
๑๓
ต่
อมาประมาณต้
นปี
ค.ศ. ๑๙๙๕ หรื
อ พ.ศ. ๒๕๓๘ ได้
เริ่
มเข้
าสู่
ยุ
คของการจั
ดการความรู้
ใน
ยุ
คที่
๒ ซึ่
งมุ่
งเน้
นที่
“คน” เป็
นหลั
กและเป็
นศู
นย์
กลางในการจั
ดองค์
ความรู้
ในองค์
กรประกอบกั
บการ
ใช้
IT เป็
นเครื่
องมื
อสนั
บสนุ
น โดยในยุ
คนี้
มี
ตาแหน่
ง CKO (Chief Knowledge Officer) เกิ
ดขึ้
นอกจากในยุ
คที่
๒ มี
การนาการจั
ดการความรู้
มาใช้
กั
บมนุ
ษย์
แล้
ว ในช่
วงเวลาดั
งกล่
าวมี
นั
กวิ
ชาการชาวญี่
ปุ่
น ชื่
อ โนนากะและทาเกอู
ชิ
ได้
เขี
ยนหนั
งสื
อชื่
อ The Knowledge Creating
Company โดยเน้
นการสร้
างและการกระจายความรู้
ในองค์
กร ระหว่
างความรู้
ที่
อยู่
ในตั
วคน (Tacit
Knowledge) กั
บความรู้
ที่
อยู่
ในรู
ปแบบของสื่
อ/เอกสารต่
างๆ (Explicit Knowledge) ซึ่
งอาจเรี
ยกว่
ยุ
คเช็
กกี้
ซึ่
งใช้
โมเดล SECI-Knowledge Conversion เป็
นกรอบแนวคิ
ดเพื่
อเป็
นแนวทางในการสร้
าง
และขยายองค์
ความรู้
ในองค์
กร ทั้
งนี้
โมเดลข้
างต้
นถื
อว่
าเป็
นที่
รู้
จั
กและใช้
งานกั
นอย่
างแพร่
หลาย เห็
นได้
จากการเกิ
ดขึ้
นของรู
ปแบบ SECI Model (S=Socialization, E=Externalization, C=Combination
และ I=Internalization)
ซึ่
งเป็
นการนาความรู้
ของมนุ
ษย์
มาสู่
การบั
นทึ
กข้
อมู
ลความรู้
ผ่
าน
กระบวนการ เน้
นวงจรยกระดั
บ ความรู้
แบบฝั
งลึ
กและความรู้
ที่
เปิ
ดเผย โดยเป็
นการนาเอาความรู้
ที่
เปิ
ดเผยชั
ดแจ้
งมาปฏิ
บั
ติ
(Internalization) นาเอาความรู้
ที่
ฝั
งลึ
กของตนมาแลกเปลี่
ยนเรี
ยนรู้
ระหว่
าง
กั
น (Socialization) สร้
างความรู้
ที่
ชั
ดแจ้
งจากความรู้
ที่
ฝั
งลึ
ก (Externalization) และนาความรู้
ที่
ชั
แจ้
งมาสั
งเคราะห์
จั
ดหมวดหมู่
หรื
อสร้
างเป็
นความรู้
ที่
ยกระดั
บขึ้
น (Combination ) (Nonaka I. and
Takeuchi H, ๑๙๙๕; บดิ
นทร์
วิ
จารณ์
, ๒๕๕๐)
ต่
อมาได้
มี
การพั
ฒนาจั
ดการความรู้
เข้
าสู่
ในยุ
คที่
๓ หรื
อในยุ
คปั
จจุ
บั
น ซึ่
งมี
การพั
ฒนา
แนวความคิ
ดที่
ว่
า องค์
ความรู้
ในระดั
บผู้
เชี่
ยวชาญที่
ค่
อนข้
างจะเป็
นนามธรรม (Abstract) นี้
สามารถ
ถ่
ายทอดแลกเปลี่
ยนความรู้
ได้
ในลั
กษณะเสวนา (Dialogue) กั
น แลกเปลี่
ยนความรู้
ซึ่
งกั
นและกั
น ผ่
าน
ทางชุ
มชนนั
กปฏิ
บั
ติ
(Community of Practice หรื
อ CoP) ซึ่
งสมาชิ
กในชุ
มชนที่
มี
ความรู้
และ
ประสบการณ์
ที่
คล้
ายคลึ
งกั
น มี
เป้
าหมายและความต้
องการที่
เหมื
อนๆ กั
น เมื่
อเกิ
ดความสั
มพั
นธ์
จาก
สมาชิ
กแต่
ละ CoP จะก่
อให้
เกิ
ดการแลกเปลี่
ยนและถ่
ายโอนองค์
ความรู้
กั
นอย่
างเป็
นธรรมชาติ
ทั้
งใน
รู
ปแบบฝั
งลึ
ก (Tacit) และแบบชั
ดแจ้
ง (Explicit) จึ
งเป็
นการเน้
นความรู้
เชิ
งซ้
อน (Complex
Knowledge) และการจั
ดการความรู้
องค์
กร (Organic Knowledge Management) ที่
มี
การนา
ศาสตร์
แห่
งความซั
บซ้
อน ทฤษฎี
ไร้
ระเบี
ยบ (Choas Theory) ระบบที่
ซั
บซ้
อนและปรั
บตั
วมา
ประยุ
กต์
ใช้
ทั้
งนี้
การนามาอธิ
บายความรู้
โดยต้
องตั้
งอยู่
บนพื้
นฐานที่
ว่
า วั
ตถุ
ประสงค์
ของการจั
ดการ
ความรู้
ต้
องเป็
นไปเพื่
อพั
ฒนาประสิ
ทธิ
ผล (Effectiveness) ของการตั
ดสิ
นใจและการสร้
างเงื่
อนไขของ
นวั
ตกรรม ดั
งนั้
นการจั
ดการความรู้
จะไม่
ใช้
ภาษาของเครื่
องคอมพิ
วเตอร์
แต่
จะให้
ความสาคั
ญกั
พฤติ
กรรมของมนุ
ษย์
และต้
องใช้
ประโยชน์
จากมนุ
ษย์
ให้
มากที่
สุ
ด ซึ่
งบางครั้
งระบบที่
ตายตั
วมี
กฏเกณฑ์
มากเกิ
นไปก็
ไม่
เหมาะสม จึ
งเน้
นการจั
ดการและแลกเปลี่
ยนความรู้
แบบฝั
งลึ
ก (Tacit Knowledge)
กล่
าวคื
อ จากความรู้
และประสบการณ์
ของคน ซึ่
งจะช่
วยให้
การทางานและการแก้
ไขปั
ญหาต่
างๆ
รวดเร็
วขึ้
น ดั
งนั้
นในยุ
คที่
๓ นี้
จึ
งเป็
นยุ
คของการร่
วมมื
อประสานงานกั
น (Collaboration ) โดยใช้
1...,11,12,13,14,15,16,17,18,19,20 22,23,24,25,26,27,28,29,30,31,...216
Powered by FlippingBook