st126 - page 14

๗. มี
ความจงรั
กภั
กดี
ต่
อสถาบั
น หมายถึ
งผู้
นาท้
องถิ่
นต้
องมี
ความพึ
งพอใจต่
องาน ต่
อสถาบั
น ต่
หน้
าที่
และความรั
บผิ
ดชอบ และต่
อฐานะบทบาทของตน กล่
าวคื
อเชื่
อมั่
นและศรั
ทธาในการเป็
นผู้
นาของตน
๘. มี
ความเป็
นผู้
นา หมายถึ
งลั
กษณะที่
ผู้
นาใช้
อิ
ทธิ
พลและศิ
ลปะในการจู
งใจให้
ผู้
อื่
นร่
วมมื
อปฏิ
บั
ติ
งาน
เพื่
อวั
ตถุ
ประสงค์
อย่
างใดอย่
างหนึ่
ง มี
ความสามารถในการตั
ดสิ
นใจและตื่
นตั
วอยู่
เสมอ
จากการทบทวนวรรณกรรมเกี่
ยวกั
บผู้
นาท้
องถิ่
นอาจจะจาแนกประเภทของผู้
นาโดยทั่
วๆ ไปหลาย
ประเภทแตกต่
างกั
นไป แต่
สาหรั
บชุ
มชนหรื
อหมู่
บ้
านหนึ่
งๆ นั้
นพอจะจาแนกลั
กษณะโครงสร้
างของผู้
นา
ออกเป็
น๒ ประเภทใหญ่
ๆ ดั
งต่
อไปนี้
๑. โครงสร้
างแบบทางการ (formal leadership structure) กล่
าวโดยทั่
วไปลั
กษณะของตาแหน่
ของผู้
นาซึ่
งมี
อยู่
ในชุ
มชนหรื
อหมู่
บ้
านแบ่
งออกเป็
น๒ ประเภท ได้
แก่
(๑)ตาแหน่
งผู้
ใหญ่
บ้
าน กานั
น แพทย์
ประจาตาบล (๒) คณะกรรมการต่
างๆ ขององค์
กรที่
อยู่
ในชุ
มชนเป็
นต้
นว่
ากลุ่
มเกษตรการ คณะกรรมการ
พั
ฒนาหมู่
บ้
านและคณะกรรมการสภาตาบล ตลอดจนข้
าราชการประเภทต่
างๆ ร่
วมทั้
งพั
ฒนาการ เป็
นต้
ผู้
นาประเภทนี้
มี
หน้
าที่
ของทางราชการค้
าจุ
นอยู่
และประชาชนก็
ตระหนั
กดี
ในฐานะที่
เป็
นผู้
นา ตาแหน่
งเหล่
านี้
เป็
นไปโดยการเลื
อกตั้
งหรื
อแต่
งตั้
งและประกาศเป็
นทางการให้
ทราบ ถ้
าหากว่
าบุ
คคลใดมี
คุ
ณสมบั
ติ
ครบถ้
วน
ตามที่
ต้
องการอาจจะได้
รั
บเลื
อกให้
ดารงตาแหน่
งหลายๆ ตาแหน่
งในเวลาเดี
ยวกั
น ดั
งนั้
น ตาแหน่
ง ฐานะ และ
หน้
าที่
ความรั
บผิ
ดชอบของผู้
นาแบบทางการจึ
งเป็
นที่
ทราบกั
นทั่
วไปในชุ
มชนหรื
อหมู่
บ้
าน
๒. โครงสร้
างผู้
นาแบบไม่
เป็
นทางการ (Informal Leadership Stucture) ผู้
นาชนิ
ดนี้
เกิ
ดจากการ
คั
ดสรรของชาวบ้
านอย่
างไม่
เป็
นทางการมาเป็
นเวลานาน ลั
กษณะของกลุ่
มในชุ
มชนหรื
อหมู่
บ้
านก็
เป็
นแบบ
ปฐมภู
มิ
(Primary group) จึ
งเพิ่
มความใกล้
ชิ
ดสนิ
ทสนมซึ่
งกั
นและกั
น มี
การติ
ดต่
อสั
มพั
นธ์
แบบตั
วต่
อตั
วใน
ระหว่
างชาวบ้
านด้
วยกั
นเอง และผลที่
ตามมาก็
คื
อได้
มี
การพั
ฒนาของกลุ่
มแบบไม่
เป็
นทางการเกิ
ดขึ้
น แต่
ละ
กลุ่
มเหล่
านี้
จะมี
ศู
นย์
กลางอยู่
ที่
บุ
คคลใดบุ
คคลหนึ่
ง ผู้
ซึ่
งได้
กลายเป็
นผู้
นาแบบไม่
เป็
นทางการชุ
มชนหรื
หมู่
บ้
านนั้
นๆ ซึ่
งได้
แก่
ผู้
เฒ่
าผู้
แก่
หรื
อสมาชิ
กอาวุ
โสของครอบครั
วขยาย อดี
ตพระภิ
กษุ
สามเณร ชาวนาที่
มี
ฐานะมั่
งคั่
ง สมาชิ
กที่
มี
ชื่
อเสี
ยงของกลุ่
มต่
างๆ และผู้
ที่
มี
ความรู้
ความสามารถพิ
เศษจนได้
รั
บการยกย่
องว่
ามี
ความเชี่
ยวชาญในอาชี
พที่
ตนทาอยู่
อาทิ
เช่
น หมอแผนโบราณ ผู้
นาแบบไม่
เป็
นทางการเหล่
านี้
มี
อิ
ทธิ
พลต่
ชาวบ้
านมาก ชาวบ้
านจะให้
ความเคารพยกย่
องและให้
ความเชื่
อถื
อ ทั้
งนี้
เนื่
องมาจากว่
าวิ
ธี
การที่
เขาใช้
กั
ชาวบ้
านเป็
นแบบกั
น เอง อาศั
ยความเห็
นอกเห็
นใจซึ่
งกั
นและกั
น เมื่
อมี
เรื่
องเดื
อดร้
อนก็
จะเล่
าสู่
กั
นฟ๎
งเพื่
อจะ
ได้
ช่
วยกั
นหาทางแก้
ไข ผู้
นาแบบไม่
เป็
นทางการนี้
จะมี
ประสิ
ทธิ
ผลในการช่
วยเชื่
อมโยงหรื
อเป็
นตั
วประสานกั
ผู้
นาแบบทางการได้
เป็
นอย่
างดี
โดยผู้
นาไม่
เป็
นทางการจะเป็
นผู้
ถ่
ายทอดความเดื
อดร้
องของชาวบ้
านให้
ผู้
นา
แบบทางการทราบ เพื่
อช่
วยหาทางแก้
ไขต่
อไป
๒.๑.๒แนวคิ
ดและทฤษฎี
การมี
ส่
วนร่
วม
ความหมายและความสาคั
ญของการมี
ส่
วนร่
วม
แนวคิ
ดการมี
ส่
วนร่
วมในป๎
จจุ
บั
นได้
รั
บการยอมรั
บและใช้
เป็
นแนวทางปฏิ
บั
ติ
ในงานพั
ฒนาการมี
ส่
วน
ร่
วมนั้
นไม่
ได้
ขึ้
นอยู่
กั
บการริ
เริ่
มหรื
อการวางแผนโดยรั
ฐแต่
ความสาเร็
จที่
แท้
จริ
งนั้
นเกิ
ดจากการที่
ประชาชนใน
ชุ
มชนได้
เข้
ามามี
ส่
วนร่
วมในกระบวนการพั
ฒนาอย่
างเป็
นอิ
สระที่
เน้
นการทางานในรู
ปของกลุ่
มหรื
อองค์
กร
ชุ
มชนที่
มี
วั
ตถุ
ประสงค์
อย่
างชั
ดเจนเกิ
ดเป็
นพลั
งกลุ่
มซึ่
งเป็
นป๎
จจั
ยสาคั
ญที่
ทาให้
งานพั
ฒนาต่
างๆบรรลุ
ความสาเร็
จตามความมุ่
งหมายดั
งนั้
นการมี
ส่
วนร่
วมจึ
งเป็
นการรั
บฟ๎
งความคิ
ดเห็
นและการเปิ
ดโอกาสให้
มี
ส่
วน
1...,4,5,6,7,8,9,10,11,12,13 15,16,17,18,19,20,21,22,23,24,...47
Powered by FlippingBook