nt139 - page 28

20
จะเห็
นว่
านั
กจิ
ตวิ
ทยาพยายามแบ่
งการเรี
ยนรู้
ออกเป็
นประเภทต่
าง ๆ ไม่
เหมื
อนกั
น ซึ่
งยั
งมี
อี
กหลายท่
านที่
แบ่
ประเภทของการเรี
ยนรู้
แตกต่
างจากที่
กล่
าวมา อย่
างไรก็
ตาม ชนิ
ดของการเรี
ยนรู้
ที่
นั
กจิ
ตวิ
ทยาส่
วนใหญ่
มี
ความเห็
พ้
องกั
นนั้
น อาจจํ
าแนกออกได้
เป็
นประเภทใหญ่
ๆ ได้
4 แบบ ด้
วยกั
น คื
1) การเรี
ยนรู้
สั
งกั
2) การเรี
ยนรู้
ทั
กษะ
3) การเรี
ยนรู้
เจตคติ
4) การเรี
ยนรู
การแก้
ปั
ญหา และการคิ
ในจํ
านวนการเรี
ยนรู้
ทั้
ง 4 ประเภทนี้
การเรี
ยนรู้
สั
งกั
ปและทั
กษะจะเกิ
ดขึ้
นได้
ง่
ายกว่
าการเรี
ยนรู้
เจตคติ
ความ
ซาบซึ้
ง และการเรี
ยนรู้
การแก้
ปั
ญหาและการคิ
4. การมี
ส่
วนร่
วมของชุ
มชนในการจั
ดการศึ
กษา
แนวคิ
ดเรื่
องการมี
ส่
วนร่
วมของชุ
มชนในการจั
ดการศึ
กษา ได้
เข้
ามามี
บทบาทสํ
าคั
ญในการพั
ฒนาท้
องถิ่
น ทั้
งนี้
ตั้
งแต่
แผนพั
ฒนาเศรษฐกิ
จและสั
งคมแห่
งชาติ
ฉบั
บที่
5 ที่
มุ่
งเน้
นคนเป็
นสํ
าคั
ญมากกว่
าการเติ
บโตทางเศรษฐกิ
จ การมี
ส่
วนร่
วมของชุ
มชนนั้
น มี
นั
กวิ
ชาการได้
อธิ
บายและให้
ความหมาย ปั
จจั
ย ขั้
นตอนการมี
ส่
วนร่
วมของชุ
มชน รู
ปแบบ
ของชุ
มชนต่
อการมี
ส่
วนร่
วมในการจั
ดการศึ
กษาไว้
มากมาย ซึ่
งผู้
วิ
จั
ยได้
นํ
ามากล่
าวไว้
เท่
าที่
จํ
าเป็
นและสอดคล้
องกั
แนวทางการศึ
กษา ดั
งนี้
4.1ความหมายของการมี
ส่
วนร่
วมของชุ
มชน
การมี
ส่
วนร่
วมของชุ
มชนนั้
นมี
นั
กวิ
ชาการหลายท่
านได้
ให้
ความหมายไว้
ดั
งนี้
โคเฮนและอั
ฟฮอฟ (Cohen and
Uphoff ,1981) ได้
ให้
ความหมายของการมี
ส่
วนร่
วมของชุ
มชนว่
า สมาชิ
กของชุ
มชนต้
องเข้
ามามี
ส่
วนเกี่
ยวข้
องใน 4 มิ
ติ
ได้
แก่
3.1.1 การมี
ส่
วนร่
วมการตั
ดสิ
นใจว่
าควรทํ
าอะไรและทํ
าอย่
างไร
3.1.2 การมี
ส่
วนร่
วมเสี
ยสละในการพั
ฒนา รวมทั้
งลงมื
อปฏิ
บั
ติ
ตามที่
ได้
ตั
ดสิ
นใจ
3.1.3 การมี
ส่
วนร่
วมในการแบ่
งปั
นผลประโยชน์
ที่
เกิ
ดขึ้
นจากการดํ
าเนิ
นงาน
3.1.4 การมี
ส่
วนร่
วมในการประเมิ
นผลโครงการ
โดยสร้
างโอกาสให้
สมาชิ
กทุ
กคนของชุ
มชน ได้
เข้
ามามี
ส่
วนร่
วมช่
วยเหลื
อและเข้
ามามี
อิ
ทธิ
พลต่
อกระบวนการ
ดํ
าเนิ
นกิ
จกรรมในการพั
ฒนา รวมถึ
งได้
รั
บผลประโยชน์
จากการพั
ฒนานั้
นอย่
างเสมอภาค องค์
การสหประชาชาติ
(United Nation , 1981) และรี
เดอร์
(Reeder , 1974) ได้
ให้
ความหมายเจาะจงถึ
งการมี
ส่
วนร่
วม ว่
าการมี
ส่
วนร่
วม
เป็
นการปะทะสั
งสรรค์
ทางสั
งคม ทั้
งในลั
กษณะการมี
ส่
วนร่
วมของปั
จเจกบุ
คคล และการมี
ส่
วนร่
วมของกลุ่
นอกจากนี้
สุ
ชาดา จั
กรพิ
สุ
ทธิ์
(2547) ได้
ศึ
กษาเรื
องชุ
มชนกั
บการมี
ส่
วนร่
วมจั
ดการศึ
กษา สรุ
ปได้
ว่
า การ
มี
ส่
วนร่
วมของชุ
มชน แบ่
งได้
ออกเป็
น 2 ลั
กษณะ ได้
แก่
1. ลั
กษณะการมี
ส่
วนร่
วมจากความเกี่
ยวข้
องทางด้
านเหตุ
ผล โดยการเปิ
ดโอกาสให้
สั
งคม
องค์
กรต่
างๆ ในชุ
มชน ประชาชนมี
บทบาทหลั
กตามสิ
ทธิ
หน้
าที่
ในการเข้
ามามี
ส่
วนร่
วมในการดํ
าเนิ
นงาน ตั้
งแต่
การ
คิ
ดริ
เริ่
ม การพิ
จารณาตั
ดสิ
นใจ วางแผน การร่
วมปฏิ
บั
ติ
และการรั
บผิ
ดชอบในผลกระทบที
เกิ
ดขึ
น รวมทั้
งส่
งเสริ
ม ชั
นํ
า สนั
บสนุ
นให้
การดํ
าเนิ
นงานเกิ
ดผลประโยชน์
ต่
อชุ
มชนตามจุ
ดมุ่
งหมายที่
กํ
าหนดด้
วยความสมั
ครใจ
1...,18,19,20,21,22,23,24,25,26,27 29,30,31,32,33,34,35,36,37,38,...78
Powered by FlippingBook