nt139 - page 27

19
3) การเรี
ยนรู้
แบบนี้
จะเป็
นการเชื่
อมโยงการตอบสนองบางอย่
างต่
อสิ่
งเร้
าเฉพาะอย่
าง สิ่
งเร้
าอื่
น ๆ
จะไม่
มี
ความหมายที่
จะทํ
าให้
เกิ
ดการตอบสนองเช่
นเดี
ยวกั
บที่
ได้
ตอบโต้
สิ่
งเร้
าเฉพาะอย่
างนั้
4) สิ่
งสํ
าคั
ญที่
เกี่
ยวกั
บการเรี
ยนรู้
แบบนี้
ก็
คื
อ รางวั
ลหรื
อตั
วเสริ
มแรง คื
อว่
ารางวั
ลจะทํ
าให้
ผู้
กระทํ
เกิ
ดความพอใจ และเป็
นการเพิ่
มโอกาส ที่
จะทํ
าให้
เกิ
ดการตอบสนองเช่
นนั้
นซ้ํ
าอี
กในทางตรงข้
ามเราจะไม่
ให้
รางวั
ลต่
การตอบสนองที่
เราไม่
ต้
องการ ซึ่
งจะมี
ผลให้
การตอบสนอง ที่
เราไม่
ต้
องการนั้
นค่
อย ๆ ลดและยุ
ติ
ลงในที่
สุ
3. การเรี
ยนรู้
ด้
านทั
กษะหรื
อด้
านกลไก เป็
นการเรี
ยนรู้
ทํ
านองเดี
ยวกั
บแบบที่
2 แต่
มี
ความซั
บซ้
อนมากขึ้
เพราะประกอบด้
วยความสั
มพั
นธ์
และการตอบสนองตั้
งแต่
2 คู่
ขึ้
นไป และเห็
นการเชื่
อมโยงระหว่
างสิ่
งเร้
า และการ
ตอบสนองในรู
ปของการใช้
กลไกของกล้
ามเนื้
อและทั
กษะ
4. การเรี
ยนรู้
ความสั
มพั
นธ์
ด้
านถ้
อยคํ
า การเรี
ยนรู้
แบบนี้
คล้
ายกั
บแบบที่
3 แต่
ต่
างกั
นที่
การตอบสนอง ต่
อสิ่
เร้
า ในแบบที่
1 เป็
นการใช้
กลไกกล้
ามเนื้
อ ส่
วนแบบที่
4 เป็
นเรื่
องของการใช้
ถ้
อยคํ
า การเรี
ยนรู้
แบบนี้
เป็
น ความสํ
าคั
ของภาวะภายใน มากกว่
าแบบที่
3
5. การเรี
ยนรู้
เพื่
อแยกความแตกต่
าง เป็
นการเรี
ยนรู้
ที่
ผู้
เรี
ยนจะต้
องแยกความแตกต่
างระหว่
างสิ่
งเร้
า เพื่
อจะ
ตอบสนองต่
อสิ่
งเร้
านั้
นให้
ถู
กต้
อง การเรี
ยนรู้
ที่
จะมี
เรื่
องการจั
ดการสั
มผั
สเข้
ามาเกี่
ยวข้
องด้
วยเสมอ ตั
วอย่
างของการ
เรี
ยนรู้
แบบนี้
ก็
ได้
แก่
การที่
ครู
ซึ่
งสอนในชั้
นเรี
ยนสามารถเรี
ยกชื่
อผู้
เรี
ยนแต่
ละคนได้
ถู
กต้
อง นั
กเรี
ยนจะเรี
ยนรู้
ความ
แตกต่
างของ พื
ช สั
ตว์
และสารเคมี
หรื
อหิ
นชนิ
ดต่
าง ๆ ซึ่
งมี
ชื่
อเรี
ยกต่
าง ๆ กั
นได้
เด็
กเล็
ก ๆ เรี
ยนรู้
ที่
จะแยกความ
แตกต่
างของสี
รู
ปร่
างของสิ่
งของ อั
กษร คํ
า จํ
านวน สั
ญลั
กษณ์
เป็
นต้
น การเรี
ยนรู้
เพื่
อแยกความแตกต่
างนี้
อาจเป็
นการ
เรี
ยนรู
เพื่
อแยกความแตกต่
างระหว่
างสายโซ่
ของความสั
มพั
นธ์
ของสิ่
งเร้
า และการตอบสนองตั้
งแต่
2 คู่
ขึ้
นไป
6. การเรี
ยนรู้
สั
งกั
ป การเรี
ยนรู้
สั
งกั
ปเป็
นการเรี
ยนรู้
ที่
ผู้
เรี
ยน จะจั
ดประเภทของสิ่
งเร้
าโดยพิ
จารณาจาก
คุ
ณสมบั
ติ
ต่
าง ๆ เกี่
ยวกั
บสี
, รู
ปร่
าง , ขนาด , จํ
านวน ฯลฯ เป็
นหลั
ก ผู้
เรี
ยนต้
องเรี
ยนรู้
สิ่
งที่
คล้
ายกั
น สามารถสรุ
ปความ
เหมื
อน และแยกความแตกต่
างของ สิ่
งเร้
ามี
ข้
อสั
งเกตว่
าการเรี
ยนรู้
สั
งกั
ปนี้
การตอบสนองของผู้
เรี
ยนไม่
ได้
เป็
นการ
เชื่
อมโยงกั
บลั
กษณะทางกายภาพของสิ่
งเร้
าเฉพาะอย่
าง หากแต่
จะเป็
นการเชื่
อมโยงกั
บคุ
ณสมบั
ติ
ทางนามธรรมของสิ่
เร้
านั้
น ๆ แกนเยถื
อว่
าการเรี
ยนรู้
แบบต่
างๆ ที่
กล่
าวมาทั้
ง 5 ประเภทข้
างต้
น จะเป็
นพื้
นฐานสํ
าคั
ญที่
จํ
าเป็
นสํ
าหรั
บการ
เรี
ยนรู้
ชนิ
ดนี้
7. การเรี
ยนรู้
กฎหรื
อหลั
กการ เป็
นสายโซ่
ของความสั
มพั
นธ์
ของสั
งกั
ป ตั้
งแต่
2 อย่
างขึ้
นไป เช่
น เมื่
อเกิ
ดสั
งกั
ความยาวของเส้
นตรง และเกิ
ดสั
งกั
ปเกี่
ยวกั
บความยาว ความกว้
างของสี่
เหลี่
ยม เราก็
สามารถตั้
งเป็
นกฎของการหาพื้
นที่
ของรู
ปสี่
เหลี่
ยมในรู
ปของความสั
มพั
นธ์
ระหว่
างความยาว และความกว้
างได้
ตั
วอย่
างของกฎอื่
น ๆ หรื
อในวิ
ชา
พี
ชคณิ
ต xa + xb = x (a + b) เป็
นต้
8. การเรี
ยนรู้
การแก้
ปั
ญหา การแก้
ปั
ญหา หมายถึ
ง การคิ
ดหรื
อการขยายความคิ
ดออกไปเพื่
อหากฎใหม่
ๆ (ซึ่
อาจเกิ
ดจากการรวมกฎที่
มี
อยู่
ก่
อน เข้
าเป็
นความสั
มพั
นธ์
ใน รู
ปแบบใหม่
นั้
นเอง) ฉะนั้
นจะเห็
นว่
า การแก้
ปั
ญหาเป็
นการ
เรี
ยนรู้
ที่
ต้
องอาศั
ยความคิ
ด การแก้
ปั
ญหาและการคิ
ด จึ
งมี
ความสั
มพั
นธ์
กั
น อย่
างแยกไม่
ออก
1...,17,18,19,20,21,22,23,24,25,26 28,29,30,31,32,33,34,35,36,37,...78
Powered by FlippingBook