ct154 - page 17

9
คายส์
(Chares Keyes.2003) ได้
นาเสนอความเป็
นกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
ว่
า เป็
นการหล่
อหลอมของ
ความรู้
สึ
กร่
วมกั
นในสายเลื
อด (shared descent) เช่
น ภาษาที่
สมาชิ
กในกลุ่
มใช้
สื่
อสารกั
น นิ
ทานหรื
เรื่
องเล่
าที่
สมาชิ
กในกลุ่
มเชื่
อว่
า มี
จุ
ดกาเนิ
ดร่
วมกั
น และบริ
บททางประวั
ติ
ศาสตร์
ที่
สมาชิ
กในกลุ่
มประสบ
ร่
วมกั
น นอกจากนี้
บริ
บทความสั
มพั
นธ์
และการปรั
บเปลี่
ยนความเป็
นกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
ยั
งสั
มพั
นธ์
กั
บรั
ฐชาติ
สมั
ยใหม่
ซึ่
งเขาได้
ชี้
ให้
เห็
นถึ
งความสั
มพั
นธ์
ระหว่
างพั
ฒนาการของความรู้
สึ
กชาติ
นิ
ยมที่
เกิ
ดขึ้
นในระหว่
าง
การสร้
างรั
ฐชาติ
กั
บพั
ฒนาการของจิ
ตสานึ
กชาติ
พั
นธุ์
ยกตั
วอย่
าง รั
ฐไทยก่
อนที่
จะเป็
นรั
ฐประชาชาติ
สมั
ยใหม่
แม้
ว่
าจะมี
กลุ่
มต่
างๆที่
มี
ความแตกต่
างทางวั
ฒนธรรม แต่
ความแตกต่
างนี้
ไม่
อาจเรี
ยกได้
ว่
าเป็
“ความแตกต่
างทางชาติ
พั
นธุ์
”(ethnic differences) เพราะว่
าถู
กมองในแง่
ของความหลากหลายในเรื่
อง
ท้
องถิ่
น เครื
อญาติ
และความสั
มพั
นธ์
ที่
มี
กั
บ “อารยธรรม”(civilizations) ซึ่
งเป็
นมรดกตกทอดกั
นมาด้
วย
ประเพณี
ลายลั
กษณ์
อั
กษร เช่
น องค์
ความรู้
ทางพุ
ทธศาสนา จะเป็
นเกณฑ์
ที่
ทาให้
กลุ่
มคนที่
ยั
งเข้
าไม่
ถึ
งก็
จะถู
กเรี
ยกว่
า “ไม่
มี
อารยธรรม”
นอกจาก นี้
คายส์
(Charles Keyes) ยั
งชี้
ให้
เห็
นว่
า การสื
บทอดวั
ฒนธรรมของบรรพบุ
รุ
นอกจากจะเป็
นการรั
กษามรดกทางวั
ฒนธรรมให้
คงอยู่
แล้
ว ยั
งเป็
นการสร้
างความเป็
นบึ
กแผ่
น ความเป็
อั
นหนึ่
งอั
นเดี
ยวกั
นในกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
การปฏิ
บั
ติ
หรื
อการแสดงออกที่
เป็
นมรดกของบรรพบุ
รุ
ษ ได้
แก่
ภาษา
ประเพณี
ความเชื่
อ และนิ
ทานปรั
มปรา ที่
กล่
าวถึ
งความเป็
นมาของบรรพบุ
รุ
ษในการสร้
างกลุ่
มและถิ่
นที่
อยู่
ซึ่
งเป็
นการสร้
างความภาคภู
มิ
ใจในบรรพบุ
รุ
ษ ก่
อให้
เกิ
ดความรู้
สึ
กเป็
นอั
นหนึ่
งอั
นเดี
ยวกั
น และ
ต้
องการรั
กษากลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
ของกลุ่
มตนไว้
และการนั
บถื
อเครื
อญาติ
หรื
อบรรพบุ
รุ
ษร่
วมกั
น เป็
นการสร้
าง
ความเป็
นอั
นหนึ่
งอั
นเดี
ยวกั
นในหมู่
พวก แสดงว่
าเป็
นพวกเดี
ยวกั
นหรื
อเป็
นส่
วนหนึ่
งของตระกู
ล เป็
นการ
สร้
างความรู้
สึ
กร่
วมกั
นว่
าบุ
คคลนั้
นมี
พวกพ้
อง มี
ญาติ
พี่
น้
อง ทาให้
เกิ
ดพลั
งที่
จะประพฤติ
ตนตามแบบอย่
าง
ที่
บุ
คคลในสั
งคมของตนปฏิ
บั
ติ
สื
บต่
อกั
นมา (Chares Keyes. 2003
)แต่
ผู้
วิ
จั
ยเห็
นว่
า การมองกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
เพี
ยงเพื่
อความเป็
นกลุ่
มพวกเดี
ยวกั
น ยั
งไม่
เพี
ยงพอต่
อการอธิ
บายการกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
ในยุ
คสมั
โลกาภิ
วั
ฒน์
ที่
มี
ผู้
คนหลากหลายอาศั
ยอยู่
ในท้
องถิ่
น และกลุ่
มผลประโยชน์
ทางการเมื
องที่
เข้
ามาเกี่
ยวข้
อง
ซึ่
ง โคเฮน (Abner Cohen)ก็
ได้
อธิ
บายถึ
งการรวมกลุ่
มทางชาติ
พั
นธุ์
เพื่
อผลประโยชน์
ทางการเมื
อง ในการ
แข่
งขั
นกั
บคนอื่
นหรื
อกลุ่
มคนอื่
น นอกเหนื
อจากประเด็
นเพื่
อการดารงรั
กษาความเป็
นชาติ
พั
นธุ์
แนวคิ
ดของ โคเฮน (Abner Cohen) เป็
นการศึ
กษาปรากฏการณ์
การกลั
บมารวมเป็
นเผ่
า (Re-
tribalization) ของชาวเฮาซา (Hausa) ที่
อิ
บาดั
น(Ibadan) ในแอฟริ
กา พบว่
า การรั
กษากลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
เป็
นปรากฏการณ์
ทางการเมื
องที่
จาเป็
นต้
องกลั
บมารวมกลุ่
มกั
นของชาวพื้
นเมื
อง เป็
นผลมาจากความ
จาเป็
นในการปกป้
องผลประโยชน์
ทางเศรษฐกิ
จของพวกเขา การรั
กษาความเป็
นกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
จึ
งมี
รู
ปแบบของการปะทะกั
นระหว่
างกลุ่
มวั
ฒนธรรมที่
ดารงอยู่
ภายใต้
บริ
บททางสั
งคมร่
วมกั
น ในขณะที่
แต่
ละ
ฝ่
ายแสดงให้
เห็
นถึ
งความเป็
นชาติ
พั
นธุ์
ในระดั
บขั้
นต่
างกั
น อั
นเนื่
องจากเงื่
อนไขที่
หลากหลาย เช่
น ลั
กษณะ
1...,7,8,9,10,11,12,13,14,15,16 18,19,20,21,22,23,24,25,26,27,...145
Powered by FlippingBook