ct154 - page 15

7
8.
กรอบแนวคิ
ดของกำรวิ
จั
กลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
ชอง เป็
นกลุ่
มคนที่
มี
ประวั
ติ
ศาสตร์
และวั
ฒนธรรมเป็
นของตนเอง โดยเฉพาะ
ภาษาและพิ
ธี
กรรมที่
เป็
นอั
ตลั
กษณ์
ของกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
ชอง โดยคนชองนาวั
ฒนธรรมเหล่
านี้
มาเป็
เครื่
องมื
อในการจั
ดการทรั
พยากรท้
องถิ่
น อั
นได้
แก่
สภาพแวดล้
อมท้
องถิ่
น ดิ
น น้
า ป่
า รวมทั้
งคนใน
ท้
องถิ่
นด้
วย แต่
เมื่
อกระแสการพั
ฒนาสู่
ความทั
นสมั
ยเข้
ามาสู่
ชุ
มชนชอง ส่
งผลทาให้
เกิ
ดการเปลี่
ยนแปลง
ทรั
พยากรท้
องถิ่
น และคนชองต้
องสู
ญเสี
ยความเป็
นกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
ที่
มี
อยู่
เดิ
ม (Detribalization)
ขณะเดี
ยวกั
น วั
ฒนธรรมที่
คนชองใช้
เป็
นเครื่
องมื
อในการจั
ดการทรั
พยากรท้
องถิ่
นก็
ต้
องมี
การปรั
บตั
(Adaptation) เพื่
อให้
สอดรั
บกั
บทรั
พยากรท้
องถิ่
นและโครงสร้
างเศรษฐกิ
จและสั
งคมที่
เกิ
ดขึ้
นใหม่
ด้
วย
กระบวนการฟื้
นฟู
ความเป็
นกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
(Retribalization) ทั้
งด้
านวิ
ถี
ชี
วิ
ต ภาษา และพิ
ธี
กรรม ยั
งผล
ทาให้
คนชองสามารถรวมกลุ่
มกั
นเป็
นชุ
มชนและดารงอั
ตลั
กษณ์
ชองได้
อย่
างสอดคล้
องกั
บบริ
บทสั
งคมที่
เปลี่
ยนแปลงไป
9.
แนวคิ
ดที่
เกี่
ยวข้
องในกำรวิ
จั
9.1
กำรปรั
บตั
วทำงวั
ฒนธรรมของกลุ่
มชำติ
พั
นธุ์
ในความเป็
นจริ
ง ชนบทในประเทศโลกที่
สาม หรื
อในประเทศไทย ไม่
ได้
มี
เพี
ยง ชาวนา ชาวสวน
ชาวไร่
ตามมุ
มมองด้
านวิ
ถี
การผลิ
ตเท่
านั้
น แต่
เริ่
มมี
การนิ
ยามความหมายของกลุ่
มคนที่
ซั
บซ้
อนมากขึ้
เช่
น กลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
และกลุ่
มทางสั
งคมอื่
นๆ เป็
นต้
น ภาพความซั
บซ้
อน ทาให้
ต้
องตั้
งคาถามกั
บแนวคิ
ต่
างๆทางสั
งคมที่
พยายามนิ
ยามความหมายของชาวนาในลั
กษณะเชิ
งภาพตั
วแทน ว่
ายั
งคงมี
ศั
กยภาพใน
การทาความเข้
าใจและอธิ
บายชาวนาในรู
ปแบบใหม่
ๆ ที่
ซั
บซ้
อนขึ้
นได้
อี
กต่
อไปหรื
อไม่
(ยศ สั
นตสมบั
ติ
.
2546 : 23) ดั
งนั้
นการศึ
กษาการปรั
บตั
วทางของกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
จึ
งเป็
นการเปิ
ดพื้
นที่
มุ
มมองการศึ
กษา
สั
งคมชาวนาในรู
ปแบบใหม่
ท่
ามกลางความสั
มพั
นธ์
เชื่
อมโยงกั
บรั
ฐ และสั
งคมภายนอก ซึ่
งการศึ
กษาทาง
ชาติ
พั
นธุ์
ส่
วนหนึ่
งมี
รากฐานมาจากนั
กคิ
ดอย่
าง แม็
กซ์
เวเบอร์
(Max Weber) ที่
ชี้
ว่
า “กลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
คื
อ กลุ่
มเหล่
าสมาชิ
กที่
เชื่
อในการสื
บสายโลหิ
ตร่
วมกั
น เนื่
องมาจากความคล้
ายคลึ
งของลั
กษณะทาง
กายภาพหรื
อขนบธรรมเนี
ยมอย่
างใดอย่
างหนึ่
งหรื
อทั้
งสองอย่
างร่
วมกั
น หรื
ออาจเกิ
ดขึ้
นจากความทรงจา
ในช่
วงเวลาที่
ถู
กปกครอง และช่
วงการอพยพ ซึ่
งไม่
สาคั
ญว่
าความสั
มพั
นธ์
ทางสายโลหิ
ตจะเกิ
ดขึ้
นจริ
หรื
อไม่
” (Alba Richard . 1992:575-584) และนั
กคิ
ดที่
ได้
รั
บอิ
ทธิ
พลจาก แม็
กซ์
เวเบอร์
ที่
สาคั
ญคื
คลิ
ฟฟอร์
ด เกี
ยร์
ตซ์
(Clifford Geertz) โดยเขาได้
ศึ
กษาในเรื่
อง “The Interpretation of Culture”
หรื
อ “การตี
ความของวั
ฒนธรรม” จนเรื่
องเกี่
ยวกั
บกลุ่
มชาติ
พั
นธุ์
นี้
กลายมาเป็
นแนวคิ
ดสาคั
ญใน
การศึ
กษามานุ
ษยวิ
ทยาวั
ฒนธรรมสมั
ยใหม่
โดยให้
ความสนใจตี
ความหมายวั
ฒนธรรมในฐานะที่
เป็
“กลไกการควบคุ
ม” (Control mechanism) พฤติ
กรรมของมนุ
ษย์
เป็
นการทางานในระดั
บวิ
ธี
คิ
ดทาง
1...,5,6,7,8,9,10,11,12,13,14 16,17,18,19,20,21,22,23,24,25,...145
Powered by FlippingBook