st125 - page 13

9
ทศวรรษ 1980 สภาพเป็ น อญีฮั ดหรื อการทาสงครามศาสนาอันศักดิ ์สิ ทธิ ์กับรัฐไทย
พุทธ
McCargo (2008) ให้ ความสาคัญกับแง่มุมทางศาสนาของสถานการณ์ ความไม่สงบในเขตชายแดนใต้
เช่นกันแต่เป็ นอี กลักษณะ เขาเสนอว่าแม้ มโนทัศน์อิ สลาม เช่นญีฮัด จะมี ให้ เห็ นในปฏิบัติการของขบวนการ
เคลื่อนไหว แต่สิ่ งนี ้ ไม่ได้ ทาให้เหตุการณ์ความไม่ สงบในพื ้ นที่เป็ นความขัดแย้งทางศาสนา ศาสนาอิ สลามมี
ส่วนเกี่ยวข้ องกับเหตุการณ์ ความไม่สงบทว่าสิ่ งที่เกิดขึ ้ นไม่ใช่ความขัดแย้ งเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม เพราะสิ่งที่
ขบวนการเคลื่อนไหวเน้ นย ้ าคือความโกรธเคืองเชิงประวัติศาสตร์ และการเมือง ไม่ใช่ความขุ่นแค้ นทางศาสนา
เหตุการณ์ ความไม่สงบในภาคใต้เป็ นสงครามช่วงชิ งความชอบธรรมเพราะรัฐไทยล้ มเหลวที่จะสถาปนาการ
ปกครองแบบมีส่วนร่วมในพื ้ นที่ และศาสนาอิ สลามก็ถูกนามาใช้ เพื่อบรรลุวัตถุ ประสงค์ทางการเมืองที่ว่านี ้ ใน
ทานองเดียวกั นLiow (2006) เสนอว่าแม้จะถู กฉาบด้วยกระแสศาสนาอิสลามสุดขั ้ วระดับโลกเพิ่มขึ ้ น แต่ความ
รุ นแรงในภาคใต้ยังคงมีรากฐานอยู่บนอุดมการณ์การเมืองแบบชาตินิ ยม สิ่งที่แสดงออกซึ่ งมิติทางศาสนาใน
ความขัดแย้ งที่เป็ นระบบที่สุดอย่างหนังสือ“การก่ อญีฮัดณปตานี” ที่พบบนร่ างของผู้ เสียชี วิตในมัสยิดกรื อเซะ
แท้ ที่จริ งแล้ วเป็ นเครื่องพิสูจน์ ว่าความความรุนแรงที่ ปะทุ ขึ ้ นไม่ได้ เป็ นส่วนหนึ่งของญีฮั ดโลกหรือกระศาสนา
อิสลามสุดขั ้ วข้ ามชาติ หากแต่แสดงให้ เห็ นถึงลักษณะของความเป็ นภู มิภาคของเหตุการณ์ ความไม่ สงบอย่าง
สาคัญ
ทั ้ งนี ้ แม้ ปั จจุบันจะยังไม่สามารถสรุปได้ ว่าสาเหตุ ที่ความรุ นแรงปะทุขึ ้ นอีกระลอกคืออะไรและใครคือผู้
ที่อยู่เบื ้ องหลังเนื่ องจากทุกคาอธิบายล้วนแล้ วแต่อยู่ “ในร่มเงาของการคาดคะเน” (Connors 2006: 125) แต่ก็
เป็ นที่เห็นพ้องกันว่าความรุนแรงที่ เกิดขึ ้ นมีนัยของความขัดแย้ งเชิงศาสนาและชาติพันธุ์รวมอยู ่ด้วย งานวิจัยชิ ้ น
นี ้ จึงสนใจที่ จะศึกษาว่าวิถี ชีวิต ขบธรรมเนียมประเพณี และพิ ธี กรรมความเชื่อมลายู และการปฏิบัติศาสนา
อิสลามของชาวมลายูมุสลิมในเขตชายแดนภาคใต้ ได้ รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ความไม่สงบอย่างไร และชาว
มลายูมุสลิมในพื ้ นที่ศึกษาปรับตัวหรือต่อรองอย่างไรในสถานการณ์ดังกล่าวนี ้