บทที่
2
แนวคิ
ดและงานวิ
จั
ยที่
เกี่
ยวข้
อง
การทบทวนวรรณกรรมที่
เกี่
ยวข้
อง
แนวคิ
ดในการวิ
จั
ยเรื่
องนี
้
ประกอบด้
วยแนวคิ
ดสองเรื่
องเป็
นหลั
กกล่
าวคื
อเรื่
องของ
เศรษฐกิ
จเชิ
งสร้
างสรรค์
และเรื่
องทุ
นวั
ฒนธรรม ในส่
วนเรื่
องเศรษฐกิ
จสร้
างสรรค์
นั
้
นได้
ใช้
แนวคิ
ด
จาก John Howkins จากหนั
งสื
อเรื่
องTheCreativeEconomyHowPeopleMakeMoneyFrom
Ideas แปลโดยคุ
ณากรวาณิ
ชย์
วิ
รุ
ฬห์
(2552) โดยงานวิ
จั
ยนี
้
เน้
นที่
การสร้
างตราสั
ญลั
กษณ์
ที่
หมายถึ
งการเชื่
อมั่
นในเครื่
องหมายการค้
าที่
ทรงคุ
ณค่
า โดยเครื่
องหมายการค้
า (ที่
ทรงคุ
ณค่
า)นี
้
จะ
เป็
นเครื่
องหมายที่
ไม่
มี
กํ
าหนดอายุ
เวลาแตกต่
างจากลิ
ขสิ
ทธิ
์
และสิ
ทธิ
บั
ตรรวมถึ
งสิ่
งที่
ไม่
สามารถ
เลี
ยนแบบได้
เช่
นการนํ
าสิ
นค้
าไปจดสิ่
งบ่
งชี
้
ทางภู
มิ
ศาสตร์
อี
กแนวคิ
ดหนึ
่
งคื
อเรื่
องทุ
นทางวั
ฒนธรรม
โดยงานวิ
จั
ยนี
้
ได้
ใช้
แนวคิ
ดเรื่
องทุ
นทาง
วั
ฒนธรรมจาก แนวคิ
ดของปิ
แยร์
บู
ดิ
เยอร์
แปลโดย ชนิ
ดา เสงี่
ยมไพศาลสุ
ข ในหนั
งสื
อเรื่
อง
เศรษฐกิ
จของทรั
พย์
สิ
นเชิ
งสั
ญลั
กษณ์
(2550) ดั
งนี
้
ทุ
น (capital ภาษาฝรั่
งเศส, ภาษาอั
งกฤษ)
ในความหมายกว้
างที่
สุ
ดของ ทุ
น หมายถึ
ง ทรั
พย์
สิ
นที่
สามารถก่
อให้
เกิ
ดทรั
พย์
สิ
นเพิ่
มมาก
ขึ
้
น โดยอาจจะเป็
นเงิ
น เครื่
องจั
กร เครื่
องมื
ออาคารสถานที่
หรื
อสิ่
งอื่
นๆที่
ไม่
ได้
นํ
ามาใช้
เพื่
อบริ
โภค
โดยตรง แต่
เพื่
อประโยชน์
ในการผลิ
ต ทุ
นเป็
นหนึ
่
งในปั
จจั
ยการผลิ
ตร่
วมกั
บอี
กสองปั
จจั
ย ได้
แก่
ที่
ดิ
นและแรงงาน ในTheNewShorterOxfordEnglishDictionary onHistorical Principles (1993)
รากศั
พท์
ภาษาละติ
นของคํ
า capital คื
อ capitalis ซึ
่
งมี
ต้
นกํ
าเนิ
ดมาจากคํ
า caput, capit ที่
หมายความ
ว่
า “หั
ว” จึ
งมี
ความเกี่
ยวโยงโดยตรงกั
บการค้
าขาย และครอบครองฝู
งสั
ตว์
เนื่
องจากในสมั
ยก่
อนนั
้
น
ความรํ
่
ารวยวั
ดได้
จากการนั
บหั
วของสั
ตว์
ที่
ผู
้
นั
้
นมี
อยู
่
ในครอบครอง
ในทางสั
งคมที
่
ได้
ให้
คํ
าอธิ
บายเกี่
ยวกั
บทุ
นอย่
างกระจ่
างชั
ดและครอบคลุ
มมิ
ติ
ต่
างๆมากที่
สุ
ด
คื
อ นั
กปราชญ์
ชาวเยอรมั
น คาร์
ล มาร์
กซ์
ซึ
่
งได้
ให้
ความหมายของ “ทุ
น” ในแง่
ที่
เกี่
ยวพั
นกั
บชน
ชั
้
นในสั
งคม โดยมองว่
าคุ
ณสมบั
ติ
ของทุ
นในฐานะที่
สามารถสั่
งสมปริ
มาณเพื่
อเพิ่
มมู
ลค่
านั
้
น เป็
น
เครื่
องสร้
างความแตกต่
างทางชนชั
้
นระหว่
างผู
้
ครอบครองทุ
นอั
นได้
แก่
ชนชั
้
นกระฏ ุ
มพี
(bourgeoisie) กั
บผู
้
ใช้
แรงงานหรื
อที่
เรี
ยกว่
าชนชั
้
นกรรมาชี
พ ( proletariat) ความสั
มพั
นธ์
ทางสั
งคม
ดั
งกล่
าวเป็
นผลโดยตรงจากระบบ “ ทุ
นนิ
ยม” ( capitalism) กล่
าวคื
อ ระบบการผลิ
ตสิ
นค้
าเพื่
อ
ค้
าขายแลกเปลี่
ยน และมุ่
งผลกํ
าไร โดยมี
กระบวนการสั่
งสมทุ
น (accumulation) เป็
นกลไก
ขั
บเคลื่
อนสํ
าคั
ญ ระบบทุ
นนิ
ยมนี
้
เริ่
มมี
บทบาทเด่
นชั
ดตั
้
งแต่
ช่
วงคริ
สต์
ศตวรรษที่
19 หลั
งจากการ
เบ่
งบานของแนวคิ
ดเสรี
นิ
ยม และการปฎิ
วั
ติ
อุ
ตสาหกรรม อั
นส่
งผลให้
ชนชั
้
นกระฏ ุ
มพี
ได้
แก่
พ่
อค้
า