111
(ตาก) และพระบาง (นครสวรรค์
) ทรงพระราชทานให้
พระญาณดิ
ส ซึ
่
งเป็
นพระราชบุ
ตรบุ
ญธรรมของ
พระบาทสมเด็
จ พระบรมราชาธิ
ราชที่
1 (ขุ
นหลวงพระงั่
ว) (อั
นเกิ
ดแต่
เจ้
าหญิ
งสุ
โขทั
ยมาปกครองอยู
่
ที่
เมื
อง
ชากั
งราว โดยขึ
้
นตรงต่
อกรุ
งศรี
อยุ
ธยา (พวงทองสุ
ดประเสริ
ฐ,2526: 29)
พิ
ษณุ
โลกในสมั
ยกรุ
งสุ
โขทั
ยในช่
วงแรกเป็
นอิ
สระอยู
่
ก่
อน ต่
อมาในรั
ชสมั
ยพ่
อขุ
นรามคํ
าแหง
มหาราชได้
ทรงยกกองทั
พมาตี
เมื
องสองแคว (พิ
ษณุ
โลก) เข้
าไปส่
วนหนึ
่
งของอาณาจั
กรสุ
โขทั
ยทํ
าให้
เมื
อง
สองแคว (พิ
ษณุ
โลก) มี
ฐานะเป็
นเมื
องชั
้
นนอกของกรุ
งสุ
โขทั
ย มาจนถึ
งรั
ชสมั
ยของพระมหาธรรมราชาที่
1 (พระยาลิ
ไท) ได้
เสด็
จมาเสวยราชสมบั
ติ
กรุ
งสุ
โขทั
ยที่
เมื
องสองแคว (พิ
ษณุ
โลก) ต่
อเนื่
องจากจนสมั
ยพระ
มหาธรรมราชาที่
2พระมหาธรรมราชาที่
3 (พระยาไสลื
อไท) และพระมหาธรรมราชาที่
4 (พระยาบาลเมื
อง)
จึ
งทํ
าให้
เมื
องสองแคว (พิ
ษณุ
โลก) มี
ฐานะเป็
นราชธานี
ของกรุ
งสุ
โขทั
ย
พิ
ษณุ
โลกในสมั
ยกรุ
งศรี
อยุ
ธยา
เมื่
อพระมหาธรรมราชาที่
2พระมหากษั
ตริ
ย์
ผู
้
ครองกรุ
งสุ
โขทั
ย
ได้
เสด็
จสวรรคตในปี
1931พระยาไสลื
อไทได้
เสด็
จขึ
้
นครองราชย์
สมบั
ติ
ทรงพระนามว่
า พระมหาธรรม
ราชาที่
3 (พระยาไสลื
อไท) เสด็
จประทั
บณ เมื
องพิ
ษณุ
โลกจนถึ
งปี
พ.ศ. 1962 จึ
งได้
เสด็
จสวรรคต ในรั
ช
สมั
ยพระบาทสมเด็
จพระราเมศวรแห่
งราชวงศ์
อู
่
ทอง เป็
นพระมหากษั
ตริ
ย์
ผู
้
ครองกรุ
งศรี
อยุ
ธยา ได้
เสด็
จยก
กองทั
พจากกรุ
งศรี
อยุ
ธยาไปตี
เมื
องเชี
ยงใหม่
เมื่
อเสด็
จกลั
บมานมั
สการและสมโภชพระพุ
ทธชิ
นราช และ
พระพุ
ทธ-ชิ
นสี
ห์
ที่
เมื
องพิ
ษณุ
โลก
ในรั
ชสมั
ยพระบาทสมเด็
จพระนครอิ
นทราชาธิ
ราช (อิ
นทราธิ
ราช) ราชวงศ์
สุ
พรรณบุ
รี
พระมหากษั
ตริ
ย์
ผู
้
ครองกรุ
งศรี
อยุ
ธยานั
้
น ทางกรุ
งสุ
โขทั
ยได้
เกิ
ดจลาจลทั
้
งนี
้
เพราะพระมหาธรรมราชาที่
3
(พระยาไสลื
อไท) เสด็
จสวรรคตในปี
1962 แล้
วเกิ
ดการแย่
งชิ
งราชสมบั
ติ
ระหว่
างเจ้
านายเชื
้
อพระวงศ์
พระ
ร่
วง ระหว่
างพระยาบาลเมื
องกั
บพระยาราม เหตุ
การณ์
ครั
้
งนี
้
ยุ
ติ
เมื่
อพระนครอิ
นทราราช (อิ
นทราราชาธิ
ราช)
ได้
เสด็
จยกทั
พจากกรุ
งศรี
อยุ
ธยาขึ
้
นมาระงั
บศึ
ก โดยทรงให้
พระยาบาลเมื
องผู
้
พี่
เป็
นพระมหาธรรมราชาที่
4
(พระยาบาลเมื
อง) ครองเมื
องสองแคว (พิ
ษณุ
โลก) และให้
พระรามผู
้
น้
องครองเมื
องสุ
โขทั
ย โดยให้
ทั
้
งสอง
พระองค์
มี
ฐานะเป็
นเจ้
าเมื
องประเทศราช ขึ
้
นตรงต่
อกรุ
งศรี
อยุ
ธยาตามเดิ
ม (พวงทองสุ
ดประเสริ
ฐ,2526:
30)
ต่
อมาสมเด็
จพระนครอิ
นทราธิ
ราช (อิ
นทราชาธิ
ราช) ทรงมี
พระราโชบายที่
จะรวมอาณาจั
กรสุ
โขทั
ย
เข้
าเป็
นส่
วนหนึ
่
งของอาณาจั
กรศรี
อยุ
ธยา โดยอาศั
ยความสั
มพั
นธ์
ทางเครื
อญาติ
ทั
้
งนี
้
ได้
ทรงขอ
พระราชทานพระราชธิ
ดาจากสมเด็
จพระมหาธรรมราชาที่
3 (ไสลื
อไท) แห่
งราชวงศ์
พระร่
วง มาอภิ
เษก
สมรสกั
บสมเด็
จพระเจ้
าสามพระยาพระราชโอรสของพระองค์
จนกระทั่
งได้
กํ
าเนิ
ดราชโอรสองค์
หนึ
่
งคื
อ
พระราเมศวร เมื่
อพระมหาธรรมราชาที่
4 (พระยาบาลเมื
อง) เสด็
จสวรรคตในปี
พ.ศ. 1981สมเด็
จพระนคร
อิ
นทราธิ
ราช (อิ
นทราชาธิ
ราช) จึ
งทรงโปรดเกล้
าฯให้
สมเด็
จพระราเมศวรพระราชโอรสซึ
่
งมี
เชื
้
อสาย