106
นอกจากนี
้
ยั
งมี
โบราณสถานที่
แสดงให้
เห็
นถึ
งเรื่
องราวในสมั
ยก่
อนประวั
ติ
ศาสตร์
ที่
สํ
าคั
ญๆคื
อ
ภาพสลั
กหิ
นที่
ถํ
้
ากา บนเขาช้
างล้
วงอํ
าเภอนครไทย ซึ
่
งภาพสลั
กหิ
นนี
้
มี
ลั
กษณะคล้
ายกั
บรู
ปสลั
กหิ
นที่
ภู
เขาภู
พาน อํ
าเภอบ้
านผื
อ จั
งหวั
ดอุ
ดรธานี
(ปราณี
แจ่
มขุ
นเที
ยน,2535 : 52) รวมไปถึ
งการสลั
กหิ
นเป็
นภาพ
ลายเส้
น และรู
ปกากบาทพาดกั
นไปมาที่
ปรากฏอยู
่
ด้
านบนของถํ
้
าผาขี
ด ที่
ภู
ขั
ด อํ
าเภอนครไทย ในส่
วน
แกะสลั
กเป็
นภาพวงกลมเรี
ยงกั
นเป็
นแถวประมาณ 14 วง บางภาพกแกะสลั
กลวดลายคล้
ายๆกั
บภาพคน
ในท่
าต่
าง ๆ และบางภาพคล้
ายสั
ตว์
จํ
าพวกนก กวางและปลาเรี
ยงกั
น มี
รอยขู
ดขี
ดเป็
นแผนที่
หรื
อลาย
เรขาคณิ
ต ชาวบ้
านจึ
งเรี
ยกผานี
้
ว่
า “ผากระดานเลข”ซึ
งพบในถํ
้
าผาแดงบนภู
เขาอ่
างนํ
้
าบ้
านปากรองตํ
าบล
ชาติ
ตระการ อํ
าเภอชาติ
ตระการ จั
งหวั
ดพิ
ษณุ
โลก ทั
้
งหมดนี
้
เป็
นร่
องรอยการกระทํ
าของมนุ
ษย์
สมั
ยก่
อน
ประวั
ติ
ศาสตร์
ในยุ
คโลหะ (ประทุ
มชุ่
มเพ็
งพั
นธ์
,2522:14)
พิ
ษณุ
โลกสมั
ยทวารวดี
ประมาณพุ
ทธศตวรรษที่
1-9-16 (ประมาณปี
พ.ศ. 800-1600) มี
การ
สั
นนิ
ษฐานว่
าจะมี
การตั
้
งถิ่
นฐานจนเป็
นชุ
มชนขนาดใหญ่
ในบริ
เวณเมื
องนครไทยและเขาสมอแครง อํ
าเภอ
วั
งทอง จั
งหวั
ดพิ
ษณุ
โลก ซึ
่
งได้
พบหลั
กฐานคื
อ พระพุ
ทธรู
ปศิ
ลาหิ
น 2องค์
ที่
วั
ดตระพั
งนาด บนเขาสมอ
แครง โดยสั
นนิ
ษฐานว่
าเป็
นศิ
ลปะสมั
ยทวารวดี
ตอนปลาย ฝี
มื
อช่
างชาวอี
สานหรื
อช่
างพื
้
นเมื
องพิ
ษณุ
โลก
โดยมี
การสร้
างขึ
้
นที่
นี่
หรื
ออาจจะมี
การ ขนย้
ายมาจากอี
สานโดยผ่
านอํ
าเภอด่
านซ้
าย จั
งหวั
ดเลย มาสู
่
อํ
าเภอนครไทย และเชื่
อมโยงถึ
งเขาสมอแครงในเขตอํ
าเภอวั
งทองในระยะต่
อมา
พิ
ษณุ
โลกในสมั
ยลพบุ
รี
ในช่
วงนี
้
อาณาจั
กรขอมมี
ความเจริ
ญรุ่
งเรื
องและได้
แผ่
อํ
านาจ การเมื
อง
การปกครอง และศิ
ลปวั
ฒนธรรมมายั
งลุ่
มแม่
นํ
้
าปิ
ง วั
ง ยมและน่
านที่
พิ
ษณุ
โลกได้
พบหลั
กฐานซึ
่
งเป็
น
โบราณสถานอิ
ทธิ
พลวั
ฒนธรรมของขอมคื
อพระปรางค์
วั
ดจุ
ฬามณี
ซึ
่
งเดิ
มเป็
นเทวสถานของพราหมณ์
(ประทุ
ม ชุ่
มเพ็
งพั
นธ์
,2522: 42) ต่
อมามี
การขุ
ดค้
นทางโบราณคดี
ระหว่
างปี
พ.ศ. 2498-2499 และได้
รายละเอี
ยดเกี่
ยวกั
บวั
ดจุ
ฬามณี
เพิ่
มเติ
ม ทํ
าให้
ได้
ข้
อสรุ
ปว่
าพระปรางค์
วั
ดจุ
ฬามณี
เป็
นปรางค์
ศิ
ลาแลงแบบ
สุ
โขทั
ย สร้
างขึ
้
นในระหว่
างพุ
ทธศตวรรษที่
19-20 ศิ
ลปะสุ
โขทั
ยได้
เกิ
ดขึ
้
นร่
วมสมั
ยระหว่
างศิ
ลปะลพบุ
รี
และศิ
ลปะสมั
ยอยุ
ธยาตอนต้
น ถ้
ากํ
าหนดเป็
นกาลเวลาจะราวพุ
ทธศตวรรษที่
17-27ศิ
ลปะสมั
ยสุ
โขทั
ย จั
ง
เป็
นตั
วกลางหรื
อตั
วต่
อของศิ
ลปะสมั
ยลพบุ
รี
และอยุ
ธยา จากหลั
กฐานในศิ
ลาจารึ
กหลั
กที่
2จารึ
กวั
ดศรี
ชุ
มได้
กล่
าวว่
า
“....ก....ในนครสระหลวงสองแคว ปู
่
ชื่
อพระยาศรี
นํ
าถม....
เป็
นพ่
อ....(เสว) ราชในนครสองอั
น อั
นหนึ
่
งชื่
อนครสุ
โขทั
ย
อั
นหนึ
่
งชื่
อนครศรี
สั
ชนาลั
ย...” (กรมศิ
ลปากร.2521: 36)
จากจารึ
กนี
้
แสดงให้
เห็
นว่
า เมื
องสองแคว (พิ
ษณุ
โลก) มี
มาก่
อนสมั
ยสุ
โขทั
ยเป็
นราชธานี
และเมื
อง
อิ
สระ พ่
อขุ
นศรี
นาวนํ
าถมมี
พระราชโอรสสองพระองค์
คื
อพ่
อขุ
นผาเมื
อง และพระยาคํ
าแหงพระราม ซึ
่
ง
พ่
อขุ
นผาเมื
องเป็
นพระราชบุ
ตรเขยของพระเจ้
าชั
ยวรมั
นที่
7 แห่
งอาณาจั
กรศรี
ยโสธรปุ
ระ (อาณาจั
กร