st125 - page 106

102
กาเนิด เช่น การสามารถมองเห็นสิ่งที่ หายหรื อถูกลักขโมยไปได้ ขณะที่ “บอมอ” ระดับรองลงมาบางคนก็ มี
“ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” ที่ “บอมอ” ระดับแนวหน้ าไม่มี เช่นการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศใน
ผู้ชาย เป็ นต้น
อย่างไรก็ ดี ถึงแม้เป็ นที่ปฏิ บัติอย่างกว้ างขวาง ทว่าพิธี กรรมความเชื่อมลายู เหล่านี ้ ถูกวิพากษ์ วิจารณ์
พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ ่ม “เคร่ งศาสนา” หรือผู้ ขับเคลื่ อนกระแสการตื่นตัวในศาสนาอิสลามใน
บ้ านกือเม็ง สาคัญแต่เพียงว่ าบุคคลเหล่านี ้ ไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ อย่างเปิ ดเผยหรื อซึ่งหน้ า ส่วนหนึ่งเป็ นเพราะ
พวกเขาไม่ต้ องการให้ เกิดความขัดแย้ งกับญาติและเพื่อนพ้ อง อีกส่วนเป็ นเพราะบรรดา “บอมอ” ต่างมีกลวิธี ใน
การปรั บเปลี่ ยนพิธี กรรมให้ สอดคล้ อง อยู่ภายใต้ หรื อไม่ขั ดแย้ งกั บศาสนาอิสลาม ได้ แก่ การยกความดี
ความชอบให้ พระเจ้ า การทาให้ กลายเป็ นศาสนาอิสลาม การทาให้ เป็ นวิทยาศาสตร์ การทาให้ เป็ นเรื่องทาง
โลกย์ และการเทียบเคียงกับการปฏิบัติของศาสดากลวิธี เหล่านี ้ ช่วยให้พวกเขายั งคงสามารถประกอบพิธี กรรม
ต่อไปได้โดยไม่ก่อให้ เกิดความขัดแย้ งหรือการเผชิญหน้าอย่างรุ นแรงกับกลุ่ม “เคร่งศาสนา” ในพื ้ นที่
นอกจากนี ้ ชาวกือเม็งรายที่ มีพฤติกรรมหมิ่นเหม่ศีลธรรม เช่น การเล่นการพนั น และการชมมหรสพ
บันเทิงมักถื อว่ามี เฉพาะพระเจ้ าเท่านั ้ นที่พวกเขาต้ องเคารพเชื่อฟั ง และพวกเขาอาศัยการเจรจาต่อรองกั บพระ
เจ้ าในการคงไว้ ซึ่งพฤติ กรรมดังกล่าวในช่วงระยะเวลาหนึ่ ง ขณะที่ในบางกรณี เช่น การคุมกาเนิด และการ
ทางานเช้ าวันศุกร์ พวกเขาอาศัยการตีความคาสอนหรือข้ อห้ ามในลักษณะที่เอื ้ อต่ อพฤติกรรมของพวกเขา
นอกจากนี ้ พวกเขามักอภิปรายประเด็นทางศาสนาโดยที่ไม่มีใครสามารถผู กขาดหรื อครอบงาได้ อย่างเบ็ดเสร็ จ
ซึ่งทั ้ งการเจรจาต่อรองกับพระเจ้ าและการตีความคาสอนศาสนาของชาวกือเม็งโดยทั่วไปและการอาศัยกลวิธี
ต่างๆ ในการปรับเปลี่ยนและให้ความหมายพิธี กรรมใหม่ของบอมอส่งผลให้ บ้ านกือเม็งเป็ นพื ้ นที่ที่ประเพณี และ
พิธี กรรมความเชื่อมลายูยังคงโลดแล่นอย่างมี ชีวิตชีวาแม้ จะผ่ านกระแสการตื่นตัวในศาสนาอิสลามในช่วงเวลา
กว่าสามทศวรรษที่ผ่านมาก็ตาม
ทั ้ งนี ้ การที่ชาวกื อเม็งยังคงปฏิบัติขนบธรรมเนียมประเพณีและประกอบพิธี กรรมความเชื่อมลายูถิ่ นมา
อย่างต่อเนื่องแม้ บางส่วนจะขัดกับหลั กศาสนาอิสลามชี ้ ให้ เห็ นว่ากระแสการตื่นตัวในศาสนาอิ สลามในเขต
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ก่อตัวขึ ้ นตั ้ งแต่ทศวรรษ 2510 สม ่า รวมทั ้ ง
ไม่ได้ ถูกกาหนดจากปั จจัยภายนอกอย่ างเบ็ดเสร็ จเด็ ดขาด หากแต่ขึ ้ นอยู่กับความจาเพาะเจาะจงของแต่ละ
พื ้ นที่อย่ างสาคัญ ขณะเดียวกันขนบธรรมเนี ยมและพิธี กรรมความเชื่ อมลายูก็ มีความสาคัญกับชาวมุสลิ ม
เหล่านี ้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าศาสนาอิสลาม การศึ กษาศาสนาอิสลามในชี วิตประจาวั นที่ให้ความสาคัญกั บการ
ปรับใช้ และการตีความคาสอนทางศาสนาของชาวมุสลิมในเงื่อนไขและบริ บทต่างๆ โดยเฉพาะในส่ วนที่ยึ ดโยง