89
4. ศึ
กษาจากการสั
มภาษณ์
ผู
้
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
ผู
้
วิ
จั
ยรวบรวมข้
อมู
ลจากการศึ
กษาเอกสารและ
ประสบการณ์
ดั
งกล่
าวสร้
างกรอบคํ
าถามที่
เกี่
ยวข้
องกั
บประเด็
นวิ
จั
ย แล้
วนํ
าไปสั
มภาษณ์
ผู
้
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
เพื่
อ
เก็
บข้
อมู
ลให้
ตรงตามวั
ตถุ
ประสงค์
ของการวิ
จั
ย โดยเลื
อกผู
้
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
แบบเฉพาะเจาะจง (Purposive
Sampling) จากผู
้
คุ
ณวุ
ฒิ
ที่
เกี่
ยวข้
องกั
บศิ
ลปกรรมร่
วมสมั
ย
ผู
้
วิ
จั
ยสั
มภาษณ์
ผู
้
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
ตามกรอบแนวคิ
ดในการวิ
จั
ยที
ละประเด็
น เมื่
อครบประเด็
นแล้
ว
ผู
้
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
ให้
ความคิ
ดเห็
นเพิ่
มเติ
มในประเด็
นสํ
าคั
ญที่
เกี่
ยวข้
อง การสั
มภาษณ์
ใช้
เวลา ประมาณ 1 - 2
ชั่
วโมงบางท่
านสั
มภาษณ์
เพิ่
มเติ
มหลายครั
้
ง เพื่
อเชื่
อมโยงข้
อมู
ลให้
เป็
นภาพรวมที่
เป็
นประโยชน์
ต่
อการสร้
าง
กรอบคํ
าถามในการเก็
บข้
อมู
ลภาคสนามต่
อไปประกอบด้
วย
1. การสั
มภาษณ์
แบบเจาะลึ
ก (In-dept Interview) ผู
้
วิ
จั
ยใช้
การสั
มภาษณ์
อย่
างเป็
นทางการ
เพื่
อเป็
นข้
อมู
ลด้
านวั
ฒนธรรม จากเอกสาร งานวิ
จั
ย และการสั
มภาษณ์
ผู
้
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
แล้
วสร้
างแนวคํ
าถาม
เกี่
ยวกั
บข้
อมู
ล
2. แบบสั
มภาษณ์
แบบมี
ส่
วนรวม (Participant Interview) เป็
นแบบสั
มภาษณ์
อย่
างไม่
เป็
น
ทางการที่
ได้
จากการศึ
กษาเอกสาร และสั
มภาษณ์
ผู
้
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
ประกอบกั
บการจดบั
นทึ
กภาคสนาม และ
คั
ดเลื
อกผู
้
ให้
ข้
อมู
ลหลั
กในแต่
ละชุ
มชน
การเก็
บรวบรวมข้
อมู
ล
การเก็
บข้
อมู
ลภาคสนามผู
้
วิ
จั
ยเริ่
มเข้
าชุ
มชนในเดื
อนกุ
มภาพั
นธ์
2554 จนถึ
งเดื
อนสิ
งหาคม 2554
ผู
้
วิ
จั
ยได้
ใช้
คํ
าถาม (Guideline)ที่
ถามถึ
งภู
มิ
หลั
งทั
ศน์
คติ
แนวความคิ
ดความเชื่
อประสบการณ์
และความรู
้
สึ
ก
ของผู
้
ให้
ข้
อมู
ลหลั
ก ซึ
่
งผู
้
วิ
จั
ยได้
เลื
อกให้
ข้
อมู
ลหลั
ก (Key informant) โดยใช้
วิ
ธี
การเลื
อกเชิ
งทฤษฎี
(Theoretical sampling) (Strauss andCorbin, 1991.pp.176-193) โดยการเลื
อกจากบุ
คคลกลุ่
มต่
างๆ ในชุ
มชน
เช่
น ชาวบ้
านในชุ
มชน ผู
้
นํ
าในชุ
มชนทั
้
งที่
เป็
นทางการ ประธานสภาวั
ฒนธรรม คณะกรรมการสภา
วั
ฒนธรรมประธานชุ
มชนและผู
้
นํ
าที่
ไม่
เป็
นทางการปราชญ์
ชุ
มชนนั
กเรี
ยนครู
อาจารย์
พระสงฆ์
ฯลฯซึ
่
ง
ได้
เห็
นถึ
งความหลากหลายของการเลื
อกผู
้
ให้
ข้
อมู
ลหลั
ก วิ
ธี
การก็
คื
อ เมื่
อเก็
บข้
อมู
ลในรายแรกๆ ได้
แล้
ว
ผู
้
วิ
จั
ยได้
ทํ
าการวิ
เคราะห์
เบื
้
องต้
นเพื่
อให้
ได้
มโนทั
ศน์
ในเรื่
องต่
างๆ ที่
ต้
องการ แล้
วทํ
าการเลื
อกผู
้
ที่
มี
คุ
ณลั
กษณะต่
างไปจากข้
อมู
ลใดอี
กและเก็
บได้
จากใครที่
ไหนเพื่
อจะนํ
าไปสู
่
การสร้
างทฤษฎี
ที่
สมบู
รณ์
ดั
งนั
้
น
กระบวนการเก็
บข้
อมู
ลจึ
งถู
กกํ
าหนดและควบคุ
ม โดยทฤษฎี
ที่
เกิ
ดขึ
้
นมาจากข้
อมู
ล (Glaser and Strauss
,1967. pp . 45-77 : Strauss andCobin , 1990. pp. 176-193 ; นราภรณ์
หะวานนท์
, 2538. หน้
า 27) วิ
ธี
นี
้
จึ
ง
ไม่
มี
การกํ
าหนดคุ
ณลั
กษณะเฉพาะของ ผู
้
ให้
ข้
อมู
ลหลั
กไว้
ล่
วงหน้
ากล่
าวคื
อ ในช่
วงแรกที่
ผู
้
วิ
จั
ยสั
มภาษณ์
แนวลึ
กผู
้
ให้
ข้
อมู
ลหลั
กรายแรกๆและแต่
ละรายต่
อไปล่
วงหน้
ากล่
าวคื
อ ในช่
วงแรกที่
ผู
้
วิ
จั
ยสั
มภาษณ์
แนวลึ
ก
ผู
้
ให้
ข้
อมู
ลหลั
กรายแรกๆและแต่
ละรายต่
อไปที่
ยิ
นดี
ร่
วมมื
อในการให้
สั
มภาษณ์
แต่
ละรายเพื่
อจะสามารถเจาะ