nt142 - page 103

89
4. ศึ
กษาจากการสั
มภาษณ์
ผู
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
ผู
วิ
จั
ยรวบรวมข้
อมู
ลจากการศึ
กษาเอกสารและ
ประสบการณ์
ดั
งกล่
าวสร้
างกรอบคํ
าถามที่
เกี่
ยวข้
องกั
บประเด็
นวิ
จั
ย แล้
วนํ
าไปสั
มภาษณ์
ผู
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
เพื่
เก็
บข้
อมู
ลให้
ตรงตามวั
ตถุ
ประสงค์
ของการวิ
จั
ย โดยเลื
อกผู
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
แบบเฉพาะเจาะจง (Purposive
Sampling) จากผู
คุ
ณวุ
ฒิ
ที่
เกี่
ยวข้
องกั
บศิ
ลปกรรมร่
วมสมั
ผู
วิ
จั
ยสั
มภาษณ์
ผู
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
ตามกรอบแนวคิ
ดในการวิ
จั
ยที
ละประเด็
น เมื่
อครบประเด็
นแล้
ผู
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
ให้
ความคิ
ดเห็
นเพิ่
มเติ
มในประเด็
นสํ
าคั
ญที่
เกี่
ยวข้
อง การสั
มภาษณ์
ใช้
เวลา ประมาณ 1 - 2
ชั่
วโมงบางท่
านสั
มภาษณ์
เพิ่
มเติ
มหลายครั
ง เพื่
อเชื่
อมโยงข้
อมู
ลให้
เป็
นภาพรวมที่
เป็
นประโยชน์
ต่
อการสร้
าง
กรอบคํ
าถามในการเก็
บข้
อมู
ลภาคสนามต่
อไปประกอบด้
วย
1. การสั
มภาษณ์
แบบเจาะลึ
ก (In-dept Interview) ผู
วิ
จั
ยใช้
การสั
มภาษณ์
อย่
างเป็
นทางการ
เพื่
อเป็
นข้
อมู
ลด้
านวั
ฒนธรรม จากเอกสาร งานวิ
จั
ย และการสั
มภาษณ์
ผู
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
แล้
วสร้
างแนวคํ
าถาม
เกี่
ยวกั
บข้
อมู
2. แบบสั
มภาษณ์
แบบมี
ส่
วนรวม (Participant Interview) เป็
นแบบสั
มภาษณ์
อย่
างไม่
เป็
ทางการที่
ได้
จากการศึ
กษาเอกสาร และสั
มภาษณ์
ผู
ทรงคุ
ณวุ
ฒิ
ประกอบกั
บการจดบั
นทึ
กภาคสนาม และ
คั
ดเลื
อกผู
ให้
ข้
อมู
ลหลั
กในแต่
ละชุ
มชน
การเก็
บรวบรวมข้
อมู
การเก็
บข้
อมู
ลภาคสนามผู
วิ
จั
ยเริ่
มเข้
าชุ
มชนในเดื
อนกุ
มภาพั
นธ์
2554 จนถึ
งเดื
อนสิ
งหาคม 2554
ผู
วิ
จั
ยได้
ใช้
คํ
าถาม (Guideline)ที่
ถามถึ
งภู
มิ
หลั
งทั
ศน์
คติ
แนวความคิ
ดความเชื่
อประสบการณ์
และความรู
สึ
ของผู
ให้
ข้
อมู
ลหลั
ก ซึ
งผู
วิ
จั
ยได้
เลื
อกให้
ข้
อมู
ลหลั
ก (Key informant) โดยใช้
วิ
ธี
การเลื
อกเชิ
งทฤษฎี
(Theoretical sampling) (Strauss andCorbin, 1991.pp.176-193) โดยการเลื
อกจากบุ
คคลกลุ่
มต่
างๆ ในชุ
มชน
เช่
น ชาวบ้
านในชุ
มชน ผู
นํ
าในชุ
มชนทั
งที่
เป็
นทางการ ประธานสภาวั
ฒนธรรม คณะกรรมการสภา
วั
ฒนธรรมประธานชุ
มชนและผู
นํ
าที่
ไม่
เป็
นทางการปราชญ์
ชุ
มชนนั
กเรี
ยนครู
อาจารย์
พระสงฆ์
ฯลฯซึ
ได้
เห็
นถึ
งความหลากหลายของการเลื
อกผู
ให้
ข้
อมู
ลหลั
ก วิ
ธี
การก็
คื
อ เมื่
อเก็
บข้
อมู
ลในรายแรกๆ ได้
แล้
ผู
วิ
จั
ยได้
ทํ
าการวิ
เคราะห์
เบื
องต้
นเพื่
อให้
ได้
มโนทั
ศน์
ในเรื่
องต่
างๆ ที่
ต้
องการ แล้
วทํ
าการเลื
อกผู
ที่
มี
คุ
ณลั
กษณะต่
างไปจากข้
อมู
ลใดอี
กและเก็
บได้
จากใครที่
ไหนเพื่
อจะนํ
าไปสู
การสร้
างทฤษฎี
ที่
สมบู
รณ์
ดั
งนั
กระบวนการเก็
บข้
อมู
ลจึ
งถู
กกํ
าหนดและควบคุ
ม โดยทฤษฎี
ที่
เกิ
ดขึ
นมาจากข้
อมู
ล (Glaser and Strauss
,1967. pp . 45-77 : Strauss andCobin , 1990. pp. 176-193 ; นราภรณ์
หะวานนท์
, 2538. หน้
า 27) วิ
ธี
นี
จึ
ไม่
มี
การกํ
าหนดคุ
ณลั
กษณะเฉพาะของ ผู
ให้
ข้
อมู
ลหลั
กไว้
ล่
วงหน้
ากล่
าวคื
อ ในช่
วงแรกที่
ผู
วิ
จั
ยสั
มภาษณ์
แนวลึ
กผู
ให้
ข้
อมู
ลหลั
กรายแรกๆและแต่
ละรายต่
อไปล่
วงหน้
ากล่
าวคื
อ ในช่
วงแรกที่
ผู
วิ
จั
ยสั
มภาษณ์
แนวลึ
ผู
ให้
ข้
อมู
ลหลั
กรายแรกๆและแต่
ละรายต่
อไปที่
ยิ
นดี
ร่
วมมื
อในการให้
สั
มภาษณ์
แต่
ละรายเพื่
อจะสามารถเจาะ
1...,93,94,95,96,97,98,99,100,101,102 104,105,106,107,108,109,110,111,112,113,...262
Powered by FlippingBook