๓๕
เดี
ยวในมณฑลชุ
มพรที่
ทํ
าเหมื
องแร
ดี
บุ
กเป
นอาชี
พหลั
กซึ่
งกิ
จการเหมื
องแร
ดี
บุ
กในช
วงนี้
ได
มี
การสํ
ารวจพร
อม
กั
นให
สั
มปทานแก
ชาวตะวั
นตกและชาวจี
นเป
นจํ
านวนมาก
ต
อมาในพ.ศ.๒๔๔๑พระบาทสมเด็
จพระจุ
ลจอมเกล
าเจ
าอยู
หั
วได
เสด็
จประพาสเมื
องหลั
งสวนครั้
งที่
๒ ดั
งหลั
กฐานในจดหมายเหตุ
ของพระองค
เมื่
อครั้
งเสด็
จหั
วเมื
องในแหลมมลายู
ร.ศ.๑๑๗ ร.ศ.๑๑๘ และ ร.ศ.
๑๑๙ สรุ
ปความตอนหนึ่
งได
ว
า วั
นที่
๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๑ เวลาเช
าออกเรื
อพระที่
นั่
งประมาณหนึ่
งชั่
วโมง
ถึ
งเกาะลั
งกาจิ
ว แขวงเมื
องชุ
มพรทอดสมอเรื
อใกล
เกาะเวลาประมาณ๙นาฬิ
กา เสด็
จลงเรื
อพระที่
นั่
งกรรเชี
ยง
เรื
อไปประทั
บที่
หาดทราย ที่
เกาะนี้
มี
ถ้ํ
าเป
นที่
นกทํ
ารั
ง แต
ที่
ปากถ้ํ
าน้ํ
าทะเลท
วมลึ
กทรงเก
าอี้
หามทอดพระเนตร
รั
งนกในถ้ํ
า เวลานี้
นกทํ
ารั
งมี
ลู
กอ
อนเก็
บรั
งนกไม
ได
ได
แต
ทอดพระเนตรแล
วเสด็
จมาประทั
บที่
เชิ
งเขา ทรงจารึ
ก
อั
กษรพระนาม จ.ป.ร. และป
ที่
เสด็
จ ร.ศ.๑๐๘ แล
วเสด็
จกลั
บลงเรื
อพระที่
นั่
งมหาจั
กรี
เวลาบ
ายสามโมงออกเรื
อ
พระที่
นั่
งตี
กรรเชี
ยงมาเข
าปากน้ํ
าหลั
งสวนแล
วเสด็
จลงเรื
อกลไฟเล็
กลากจู
งไปตามแม
น้ํ
าจนถึ
งตํ
าบลบางยี่
โร
แล
วทรงช
างพระที่
นั่
งถึ
งบ
านพระยาจรู
ญราชโภคากร เวลาย่ํ
าค่ํ
าเสวยพระกระยาหารหลั
งจากนั้
นเสด็
จ
ทอดพระเนตรละครของพระราชโภคากร จนถึ
ง ๕ ทุ
มเศษ และในวั
นที่
๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๒ เวลาบ
าย
สามโมง ทรงช
างพระที่
นั่
งจากที่
ประทั
บแรมถึ
งถ้ํ
าเขาเงิ
น เสด็
จไปนมั
สการพระเจดี
ย
ที่
อยู
หน
าถ้ํ
า พระเจดี
ย
ทรง
พระกรุ
ณาโปรดเกล
าฯ ให
สร
างขึ้
นเมื่
อเสด็
จประพาสคราวก
อน แล
วเสด็
จเข
าไปในถ้ํ
า มี
พระสงฆ
สวดชยั
นโตรั
บ
เสด็
จ ทรงนมั
สการพระพุ
ทธรู
ปที่
อยู
ในถ้ํ
าและทรงจารึ
ก ร.ศ.๑๗๗ที่
อั
กษรพระนามซึ่
งจารึ
กไว
เมื่
อเสด็
จประพาส
ร.ศ.๑๐๘ แล
วเสด็
จกลั
บลงเรื
อพระที่
นั่
งล
องลงมาตามลํ
าน้ํ
าถึ
งที่
ประทั
บแรมเวลาค่ํ
าเสด็
จขึ้
นจากเรื
อ เมื่
อถึ
ง
เวลากลางคื
นเสด็
จทอดพระเนตรละครของพระยาจรู
ญราชโภคากรซึ่
งจั
ดเล
นเรื่
องเจ
าเงาะเมื่
อตี
คลี
ต
อมาในพ.ศ.๒๔๕๙พระบาทสมเด็
จพระมงกุ
ฎเกล
าเจ
าอยู
หั
ว โปรดเกล
าฯ ให
เปลี่
ยนคํ
าว
า “เมื
อง”
เป
น “จั
งหวั
ด” เมื
องหลั
งสวนจึ
งกลายเป
นจั
งหวั
ดหลั
งสวน และเมื่
อไทยตกอยู
ในภาวะเศรษฐกิ
จตกต่ํ
าอั
น
เนื่
องมาจากสงครามโลกครั้
งที่
๑ทํ
าให
ฐานะทางการคลั
งของประเทศอยู
ในภาวะขาดดุ
ลติ
ดต
อกั
นหลายป
จนสิ้
น
รั
ชกาล เป
นผลให
รั
ฐบาลประกาศยกเลิ
กมณฑลชุ
มพรในวั
นที่
๓๑ มี
นาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ทํ
าให
จั
งหวั
ด
หลั
งสวนมี
ฐานะเป
นอํ
าเภอหนึ่
งของจั
งหวั
ดชุ
มพรในชื่
อของอํ
าเภอขั
นเงิ
นและเปลี่
ยนเป
นอํ
าเภอหลั
งสวนเมื่
อ
วั
นที่
๑๑พฤศจิ
กายนพ.ศ.๒๔๘๑ แม
ว
าหลั
งสวนจะมี
ฐานะเป
นอํ
าเภอแต
ก็
เป
นอํ
าเภอที่
มี
ความสํ
าคั
ญ
ในช
วงสงครามโลกครั้
งที่
๒ ซึ่
งเกิ
ดขึ้
นโดยกองทั
พของจั
กรพรรดิ
ญี่
ปุ
นได
เป
ดฉากโจมตี
ฐานทั
พเรื
อของ
สหรั
ฐอเมริ
กา ที่
อ
าวเพิ
ร
ลฮาเบอร
ตลอดจนฟ
ลิ
ปป
นส
และเมื
องโกตาบารู
ทางเหนื
อของมลายู
อย
างรุ
นแรงเมื่
อ
วั
นที่
๗ ธั
นวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ และทางญี่
ปุ
นได
ยื่
นข
อเสนอต
อรั
ฐบาลไทยว
า ขอให
กองทั
พญี่
ปุ
นผ
านประเทศไทย
เพื่
อมุ
งหน
าสู
อิ
นเดี
ยซึ่
งเป
นอาณานิ
คมของอั
งกฤษ แต
ไม
ทั
นที่
รั
ฐบาลไทยจะได
ตอบข
อเสนอของกองทั
พญี่
ปุ
น รุ
ง
เช
าของวั
นที่
๘ ธั
นวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ กองทั
พญี่
ปุ
นได
ถื
อโอกาสเคลื่
อนกองกํ
าลั
งจากอิ
นโดจี
นเข
าสู
ประเทศไทย
ทางอรั
ญประเทศ ส
วนหนึ่
งเดิ
นทางโดยทางเรื
อและยกพลขึ้
นบกพร
อมกั
นทุ
กแห
ง ทางจั
งหวั
ดชายทะเลหลาย
จั
งหวั
ดในประเทศไทยเช
นที่
สมุ
ทรปราการ ประจวบคี
รี
ขั
นธ
ชุ
มพร สุ
ราษฎร
ธานี
นครศรี
ธรรมราช สงขลา และ
ป
ตตานี
หลายพื้
นที่
ได
มี
การต
อต
านกองทั
พญี่
ปุ
นทํ
าให
เกิ
ดการสู
รบกั
บฝ
ายไทย