๙
ชนบทมากขึ
้
นและคั
ดค้
านการบี
บบั
งคั
บของรั
ฐต่
อหมู
่
บ้
าน
แนวคิ
ดที
่
สาม
เน้
นลั
กษณะคุ
ณค่
าทาง
จริ
ยธรรมของวั
ฒนธรรมพื
้
นบ้
านที
่
เป็
นอิ
สระ และยั
งดารงอยู
่
ในป ั
จจุ
บั
นในสถาบั
นหมู
่
บ้
าน
มากกว่
าการเสนอให้
ต่
อต้
านวั
ฒนธรรมของรั
ฐและระบบทุ
นนิ
ยม การพั
ฒนาคื
อการสื
บทอด
วั
ฒนธรรมชุ
มชนอั
นดี
งามและการพึ
่
งตนเองที
่
เคยมี
มาแต่
ในอดี
ตแต่
กาลั
งสู
ญเสี
ยไป
แนวคิ
ดที
่
สี
่
เน้
นการต่
อต้
านกระแสการพั
ฒนาของรั
ฐและส่
งเสริ
มชุ
มชนให้
เข้
มแข็
งบนพื
้
นฐานศาสนธรรม
แนวคิ
ดวั
ฒนธรรมชุ
มชนอี
กประเด็
นหนึ
่
งได้
รั
บการวิ
พากษ์
วิ
จารณ์
ในแง่
ของวิ
ธี
คิ
ดที
่
เน้
นการมองความต่
อเนื
่
องและความคงทนของต้
นแบบทางวั
ฒนธรรมว่
าสื
บทอดมาจาก
ลั
กษณะดั
้
งเดิ
มเป็
นวิ
ธี
คิ
ดที
่
ทาให้
มองมิ
ติ
วั
ฒนธรรมอย่
างหยุ
ดนิ่
งไม่
เคลื
่
อนไหว ในขณะที
่
วิ
ธี
คิ
ดใน
การศึ
กษาวั
ฒนธรรมป ั
จจุ
บั
นเน้
นการศึ
กษาวั
ฒนธรรมในมิ
ติ
ของความเคลื
่
อนไหวให้
มากที
่
สุ
ด
กล่
าวคื
อ มองวั
ฒนธรรมในแง่
กระบวนการคิ
ด เพราะมี
การเคลื
่
อนไหวเพื
่
อเรี
ยนรู
้
สร้
างสรรค์
ผลิ
ตใหม่
และปรั
บตั
วภายใต้
บริ
บททางสั
งคมและธรรมชาติ
แวดล้
อม ซึ
่
งมี
ความหลากหลายและ
แตกต่
างกั
นไปในแต่
ละชุ
มชน เนื
่
องจากสั
งคมต่
าง ๆ รวมทั
้
งสั
งคมไทยเองมี
ความหลากหลาย
ทางวั
ฒนธรรมมากขึ
้
น
การก่
อเกิ
ดแนวคิ
ดวั
ฒนธรรมชุ
มชนซึ
่
งเป็
นแนวทางหลั
กของการพั
ฒนาที
่
ทวน
กระแสการพั
ฒนาระบบทุ
นนิ
ยม ไม่
เพี
ยงแต่
นั
กพั
ฒนาหรื
อนั
กวิ
ชาการที
่
นามาใช้
ใน
กระบวนการพั
ฒนาเท่
านั
้
น แนวคิ
ดวั
ฒนธรรมชุ
มชนเป็
นอี
กแนวทางหนึ
่
งที
่
นั
กวิ
ชาการใช้
เป็
นตั
ว
แบบในการศึ
กษารู
ปแบบการจั
ดการทรั
พยากรธรรมชาติ
เมื
่
อป ั
ญหาทรั
พยากรธรรมชาติ
และ
สิ่
งแวดล้
อมทวี
ความเข้
มข้
นขึ
้
นในทุ
กระดั
บ ซึ
่
งมั
กถู
กมองว่
าส่
วนหนึ
่
งมาจากความล้
มเหลวของ
ภาครั
ฐในการบริ
หารและจั
ดการสิ่
งแวดล้
อม โดยเฉพาะอย่
างยิ่
งความเสื
่
อมโทรมของทรั
พยากร
ป ่
าไม้
ดั
งนั
้
นแนวคิ
ดวั
ฒนธรรมชุ
มชน จึ
งถู
กหยิ
บยกขึ
้
นมาเป็
นทางเลื
อกใหม่
ของการจั
ดการ
ทรั
พยากรที
่
ยึ
ดเอาชุ
มชนเป็
นฐานหลั
ก (community-based resource management) เกิ
ด
กระบวนการสร้
างวาทกรรมป ่
าชุ
มชนขึ
้
นมาอย่
างต่
อเนื
่
อง ทั
้
งในวงวิ
ชาการ การวิ
จั
ย การ
ประชุ
มสั
มมนา องค์
กรพั
ฒนาเอกชน และขบวนการประชาชน
๕
การให้
ความสาคั
ญต่
อการจั
ดการทรั
พยากรธรรมชาติ
ให้
ยั
่
งยื
นจะต้
องดาเนิ
นการ
ควบคู
่
กั
บการอนุ
รั
กษ์
ฟื
้
นฟู
และพั
ฒนาทรั
พยากรคน วั
ฒนธรรมและภู
มิ
ป ั
ญญาของชุ
มชน อั
น
รวมกั
นหมายถึ
งระบบวั
ฒนธรรมชุ
มชน พร้
อมกั
บการค่
อย ๆ ให้
โอกาสชุ
มชนได้
จั
ดตั
้
งตนเองใน
รู
ปองค์
กรชุ
มชนที
่
หลากหลายต่
อเงื
่
อนไขภายในชุ
มชนในการจั
ดการทรั
พยากรธรรมชาติ
โดย
ไม่
ใช่
เป็
นการรื
้
อฟื
้
นวั
ฒนธรรมแบบดั
้
งเดิ
มหรื
อการหวนกลั
บไปสู
่
อดี
ต แต่
เป็
นการผสมผสาน
ความเชื
่
อแบบเก่
าที
่
เชื
่
อว่
าเป็
นพลั
งตรวจสอบการเปลี
่
ยนแปลงในยุ
คป ั
จจุ
บั
น ซึ
่
งชุ
มชนมิ
ใช่
เป็
น
๕
ชู
ศั
กดิ
์
วิ
ทยาภั
ค. ๒๕๔๓. “ชุ
มชนกั
บการจั
ดการทรั
พยากรป ่
าไม้
ในภาคเหนื
อ”, ใน พลวั
ตของ
ชุ
มชนในการจั
ดการทรั
พยากร : สถานการณ์
ในประเทศไทย, หน้
า ๑๓๕ - ๑๗๖. อานั
นท์
กาญจนพั
นธุ
์
,
บรรณาธิ
การ. กรุ
งเทพฯ : สานั
กงานกองทุ
นสนั
บสนุ
นการวิ
จั
ย, ๑๕๘.