st116 - page 144

126
บทที่
6
บทสรุ
ปและข้
อเสนอแนะ
ที่
ตั้
งของพื้
นที่
ภาคใต้
ของประเทศไทยในปั
จจุ
บั
นนั้
น หากตั
ดเส้
นพรมแดนแบ่
งประเทศไทยกั
บประเทศ
มาเลเซี
ยออกไปแล้
ว พบว่
าตั้
งแต่
บริ
เวณคอคอดกระลงไปจนจรดสุ
ดที่
มะละกา แผ่
นดิ
นผื
นนี้
รวมกั
นเป็
นผื
เดี
ยวกั
นทอดยาวคาบอยู่
ระหว่
างมหาสมุ
ทรแปซิ
ฟิ
กทางตะวั
นออกกั
บมหาสมุ
ทรอิ
นเดี
ยทางฝั่
งตะวั
นตก รวม
เรี
ยกว่
า “คาบสมุ
ทรมลายู
ด้
วยลั
กษณะทางกายภาพเป็
นคาบสมุ
ทรทอดยาวกั้
นระหว่
างสองมหาสมุ
ทร ประกอบกั
บสองฟากฝั่
ของคาบสมุ
ทรมลายู
แห่
งนี้
ยั
งเป็
นที่
ตั้
งของดิ
นแดนได้
รั
บการยกย่
องให้
เป็
นสองอู่
อารยธรรมสํ
าคั
ญของโลก
ตะวั
นออก ทั้
งหมดนั้
นล้
วนแล้
วแต่
ผลั
กดั
นให้
พื้
นที่
แห่
งนี้
กลายเป็
นสถานที่
รั
บรองผู้
มาเยื
อนจากสองฟากฝั่
งของ
โพ้
นทะเล เมื่
อท้
องทะเลอั
นกว้
างใหญ่
ไม่
อาจกี
ดกั้
นความประสงค์
อั
นแรงกล้
าในความสนใจต่
อสิ่
งต่
างๆ จากอี
ฝั่
งของท้
องน้ํ
แม้
ว่
าการความรู้
ความชํ
านาญในการเดิ
นเรื
อยั
งไม่
เพี
ยงพอสํ
าหรั
บเดิ
นเรื
อตั
ดข้
ามมหาสมุ
ทรหรื
ออ้
อม
สุ
ดปลายแหลมของคาบสมุ
ทรมลายู
ในช่
องแคบมะละกาได้
ผู้
มาเยื
อนจากทั้
งสองฝั่
งที่
มิ
ได้
ยี่
ระต่
ออุ
ปสรรค จึ
พากั
นมาเข้
ามาใช้
พื้
นที่
กลางบนคาบสมุ
ทรแห่
งนี้
ในการติ
ดต่
อแลกเปลี่
ยน จนเกิ
ดเป็
น “เส้
นทางเชื่
อมต่
ระหว่
างคาบสมุ
ทร” ทั้
งในรู
ปแบบของลํ
าน้ํ
าและทางบกเพื่
อตั
ดข้
ามคาบสมุ
ทรมลายู
การปะทะสั
งสรรค์
กั
นของวั
ฒนธรรมพื้
นถิ่
นและวั
ฒนธรรมใหม่
ของผู้
มาเยื
อนจากฟากตะวั
นตกหรื
อิ
นเดี
ย ก่
อให้
เกิ
ดความเปลี่
ยนแปลงสํ
าคั
ญต่
อชุ
มชนบ้
านเมื
องพื้
นถิ่
นเหล่
านี้
ให้
พั
ฒนากลายเป็
นรั
ฐใหญ่
น้
อยบน
คาบสมุ
ทรมลายู
หากแต่
ไม่
เพี
ยงอารยธรรมฟากตะวั
นตกเท่
านั้
นการปรากฏตั
วขึ้
นของคนจากฝั่
งตะวั
นออกหรื
ที่
คนพื้
นถิ่
นรู้
จั
กกั
นในนามของ “ชาวจี
น” ได้
ก่
อให้
เกิ
ดความเปลี่
ยนแปลงสํ
าคั
ญภายในรั
ฐบนคาบสมุ
ทรมลายู
ตลอดจนรั
ฐต่
างๆ เชื่
อมต่
อกั
นทางฝั่
งตอนบนภาคพื้
นทวี
ปอี
กด้
วย ชาวจี
นเหล่
านั้
นเข้
ามาร่
วมสั
งสรรค์
ในพื้
นที่
ความทรงจํ
าร่
วมของผู้
คนในแถบนี้
ในรู
ปแบบและสถานะที่
หลากหลาย ไม่
ว่
านั
กเดิ
นเรื
อผู้
เชี่
ยวชาญแห่
งกรุ
งศรี
อยุ
ธยา เทพเจ้
าซั
มปอกงหรื
อมหาขั
นที
แห่
งราชวงศ์
หมิ
ง รวมทั้
งโจรสลั
ดผู
เกรี
ยงไกรจากฝู
เจี้
ยนที่
ได้
เข้
าร่
วมเป็
ส่
วนหนึ่
งของตํ
านานเมื
องปั
ตตานี
เมื่
อหั
นกลั
บมามองประวั
ติ
ศาสตร์
ไทยนั
บแต่
ประมาณพุ
ทธศตวรรษที่
23 เป็
นต้
นมาพบได้
ว่
าชาวจี
ได้
กลายเป็
นกลุ่
มคนเข้
ามาร่
วมสั
งสรรค์
ในสั
งคมไทยเสมอ โดยเฉพาะชาวจี
นจากกลุ่
มมณฑลทางภาคตะวั
นออก
เฉี
ยงใต้
ของประเทศจี
น 3 มณฑล คื
อ ฝู
เจี้
ยน,กวางตุ้
ง,ไหหลํ
า ซึ่
งมี
การอพยพเข้
าสู่
ดิ
นแดนประเทศไทยมาพึ่
พระบรมโพธิ
สมภารของพระเจ้
าอยู่
หั
วอย่
างต่
อเนื่
อง เนื่
องด้
วย 2 ปั
จจั
ยสํ
าคั
ญ คื
อ ปั
จจั
ยภายในเมื
องจี
นซึ่
ความยาก เกิ
ดทั้
งธรรมชาติ
และความวุ่
นวายทางการเมื
อง ขณะเดี
ยวกั
นพื้
นที่
ทํ
าการเพาะปลู
กในทั้
ง 3 มณฑล
ดั
งกล่
าวมี
อยู่
อย่
างจํ
ากั
ด ปั
จจั
ยภายนอกที่
มี
การเปลี่
ยนแปลงเศรษฐกิ
จและสั
งคมของไทย นั
บตั้
งแต่
การทํ
สนธิ
สั
ญญาเบาว์
ริ
งกั
บอั
งกฤษ ส่
งผลให้
การค้
าเริ่
มขยายตั
วเพิ่
มขึ้
นจนรั
ฐต้
องการแรงงานจํ
านวนมากสํ
าหรั
บการ
ปรั
บเปลี่
ยนพั
ฒนาบ้
านเมื
อง
1...,134,135,136,137,138,139,140,141,142,143 145,146,147,148,149,150,151,152,153,154,...185
Powered by FlippingBook