175
มี
มาก่
อนเกิ
ดเป็
นศาสนาพราหมณ์
และเชื่
อว่
ามี
พระผู
้
เป็
นเจ้
าคื
อมหาบุ
รุ
ษเป็
นผู
้
สร้
างโลกและสิ
่
งที่
มี
ชี
วิ
ตทั
้
งปวง มี
การแบ่
งมนุ
ษย์
ออกเป็
น 4 วรรณะคื
อ พราหมณ์
กษั
ตริ
ย์
แพศย์
และศู
ทร ส่
วนพุ
ทธ
ศาสนาเกิ
ดขึ
้
นราวพุ
ทธศตวรรษที่
6 มี
ลั
ทธิ
มหายาน แยกเป็
นลั
ทธิ
เถรวาท (หิ
นยาน) รั
บเอาความ
เชื่
อถื
อในศาสนาพราหมณ์
เข้
ามาปะปนมี
พระพุ
ทธเจ้
าลงมาตรั
สรู
้
ในมนุ
ษยโลกเกิ
ดมี
การประดิ
ษฐ์
พระพุ
ทธรู
ปเป็
นรู
ปมนุ
ษย์
ขึ
้
นตามความเชื่
อในพุ
ทธศาสนาลั
ทธิ
มหายาน (สุ
ภั
ทรดิ
ศ ดิ
ศกุ
ล. 2538
:
7– 9) การรั
บหลั
กศาสนาจากอิ
นเดี
ยเข้
าสู
่
พื
้
นที่
ประเทศไทยและกั
มพู
ชามาผสมผสานกั
บความเชื่
อ
เดิ
มของคนในพื
้
นที่
หลั
กความเชื่
อของอิ
นเดี
ยลดบทบาทของสตรี
ถ้
ามองความเชื่
อของพื
้
นที่
วั
ฒนธรรมขอมพบว่
าย ั
งตระหนั
กถึ
งบทบาทของสตรี
มี
พื
้
นที่
เป็
นตั
วกลางระหว่
างเทพเจ้
ากั
บวิ
ถี
ชี
วิ
ต
ของพื
้
นบ้
าน และมองว่
านางอั
ปสรที่
จํ
าหลั
กในสถาปั
ตยกรรมขอม เช่
นจํ
าหลั
กรู
ปแบบนางอั
ปสรริ
ม
ประตู
ปราสาทศี
ขรภู
มิ
ถ้
ามองความหมายด้
านพิ
ธี
กรรมในความเชื่
อศาสนาพราหมณ์
หรื
อฮิ
นดู
คื
อ
ผู
้
ที่
ถู
กกํ
าหนดให้
เป็
นบริ
วารคุ
้
มครองพื
้
นที่
ศั
กดิ
์
สิ
ทธิ
์
ขององค์
ปราสาท ตลอดทั
้
งภาพจํ
าหลั
กใน
สถาปั
ตยกรรมกลุ
่
มนี
้
และบทบาทหน้
าที่
บํ
าเรอพวกเทวดาหรื
อบางที
ก็
มี
พวกอสู
รด้
วย ไม่
มี
สิ
ทธิ
์
เลื
อกจะบํ
าเรอเทวดาหรื
ออสู
ร จึ
งตกเป็
นของกลางที่
เทวดาหรื
ออสู
รตนใดชอบก็
เรี
ยกว่
าบํ
ารุ
งบํ
าเรอ
ตน ถื
อว่
าเป็
นเรื่
องของเทวดา (นิ
วั
ตร กองเพี
ยร. 2539 : 170 – 171) แต่
รู
ปแบบนางอั
ปสรในมุ
มมอง
ของคนไทย และกั
มพู
ชามี
การปรั
บเปลี่
ยนสอดรั
บกั
บสภาพพื
้
นที่
ทางกายภาพและทางสั
งคมพื
้
นบ้
าน
เดิ
ม ลั
กษณะการดํ
ารงชี
วิ
ตที่
มองธรรมชาติ
เป็
นผู
้
สร้
างมนุ
ษย์
และสั
งคม เป็
นบ่
อเกิ
ดการสร้
างความ
เชื่
อพื
้
นฐานของชี
วิ
ตที่
เกี่
ยวโยงกั
นอย่
างแนบแน่
น
ดั
งนั
้
นชาวไทย และกั
มพู
ชามองภาพจํ
าหลั
กนางอั
ปสร คื
อ ตั
วแทนแห่
งความสมบู
รณ์
ของธรรมชาติ
ซึ
่
งเข้
ารู
ปแบบคุ
ณสมบั
ติ
เจ้
าแม่
ธรณี
เป็
นเทพแห่
งไร่
นา หรื
อเป็
นสตรี
ในลั
กษณะรู
ปแม่
พระธรณี
บี
บมวยผม ซึ
่
งเป็
นความเชื่
อของชนชาติ
ที่
ประกอบกสิ
กรรมที่
ต้
องใช้
นํ
้
าเป็
นปั
จจั
ยสํ
าคั
ญ
เพื่
อพื
ชพั
นธุ
์
ธั
ญญาหารเจริ
ญงอกงามอุ
ดมสมบู
รณ์
และสะท้
อนคุ
ณลั
กษณะเทวี
แห่
งพื
ชพั
นธุ
์
ธั
ญญาหาร ที่
เรี
ยกว่
า “พระแม่
โพสพ” เป็
นเทวดาพื
้
นเมื
องประจํ
าท้
องนาและยุ
้
งฉางของไทยซึ
่
งเป็
น
ชาติ
ที่
ปลู
กข้
าวรั
บประทานมานานนั
บพั
นปี
ทุ
กวั
นนี
้
ชาวนาในชนบทไทยและกั
มพู
ชาย ั
งมี
พิ
ธี
กรรม
กั
บความเชื่
อ เช่
น ช่
วงใกล้
เดื
อนหก ฝนก็
เริ ่
มตก ชาวนาจะแรกไถนา และทํ
าพิ
ธี
อั
ญเชิ
ญพระโพสพ
ลงมาเพื่
อช่
วยดู
แล รั
กษาต้
นข้
าวคื
อ พิ
ธี
เรี
ยกขวั
ญข้
าว เป็
นการทํ
าเพื่
อตอบแทนคุ
ณ และบู
ชาพระแม่
โพสพที่
ให้
ข้
าวแก่
มนุ
ษย์
กิ
น นอกจากนี
้
พระแม่
โพสพมี
ลั
กษณะเป็
นหญิ
งสาวเช่
นเดี
ยวกั
บนางอั
ปสร
ท่
าทางอ่
อนช้
อยสวยงาม แต่
งกายนุ
่
งผ้
าจี
บชายลงมาถึ
งปลายหน้
าแข้
ง ห่
มผ้
าสไบเฉี
ยงแบบหญิ
งสาว
ชาววั
งในสมั
ยก่
อน ที่
ไว้
ผมยาวประบ่
า เป็
นเทพี
นางฟ้
า และยื
นเปลื
อยกายท่
อนบน (สุ
รศั
กดิ
์
ทอง.
2553, : 175 – 183) แต่
เมื่
อพิ
จารณาพื
้
นที่
ห่
างไกลจากศู
นย์
กลางอํ
านาจของอาณาจั
กรเขมร พบว่
า
พื
้
นที่
เขมรส่
วนบน (เขตอี
สานใต้
) ได้
ลดขนาดของภาพจํ
าหลั
กลง กล่
าวคื
อ มี
ภาพนางอั
ปสรใน