Page 183 - งานวิจัย - www.culture.go.th/research

Basic HTML Version

165
รวมทั
งช่
างและศิ
ลปิ
นชาวฮิ
นดู
ต่
างๆ บุ
คคลเหล่
านี
รั
บใช้
เจ้
านายในราชวั
งและมี
อิ
ทธิ
พลต่
อความคิ
ความเชื่
อ และระเบี
ยบพิ
ธี
ทางสั
งคมมาก มี
การยอมรั
บผู
ปกครองว่
าเป็
นผู
มี
อํ
านาจพิ
เศษกว่
าคน
ธรรมดา และเป็
นทั
งตั
วแทนของชุ
มชนโดยชอบธรรม หากผู
นั
นสามารถแสดงแสนยานุ
ภาพทางจิ
ได้
ดั
งนั
นการนั
บถื
อเทพเจ้
า เช่
น พระวิ
ษณุ
พระศิ
วะและพระพุ
ทธเจ้
า จึ
งเท่
ากั
บเป็
นการเสริ
มอํ
านาจ
บารมี
ให้
แก่
ผู
ครองนครได้
อี
กทางหนึ
ง จึ
งเกิ
ดความเชื่
อที่
ว่
ากษั
ตริ
ย์
คื
อ เทพอวตารหรื
อสมมติ
เทพ
(มาลิ
นี
ดิ
ลกวณิ
ช. 2543 : 221)
เมื่
อผู
ปกครองประเทศมี
ความเชื่
อความศรั
ทธาในอารยธรรมต่
างๆ
ของอิ
นเดี
ย จึ
งส่
งผลโดยตรงในธรรมเนี
ยมการปฏิ
บั
ติ
เกี่
ยวกั
บวิ
ถี
ชี
วิ
ตของคนไทย และคนกั
มพู
ชา มี
การสื
บทอดต่
อๆ กั
นมาและขยายลงสู
ชุ
มชนนํ
าไปปรั
บประยุ
กต์
ใช้
ตามบริ
บทของพื
นที่
ตน
มนุ
ษย์
มี
วั
ฒนธรรมเป็
นวิ
ถี
ชี
วิ
ตที่
เลื่
อนไหลให้
สอดรั
บกั
บความเป็
นอยู
อย่
างต่
อเนื่
อง พื
นที่
ภาคตะวั
นตกเฉี
ยงเหนื
อของอิ
นเดี
ย เมื่
อราว 5,000 ปี
มาแล้
ว เป็
นบ่
อเกิ
ดอารยธรรมสํ
าคั
ญที่
เก่
าแก่
แห่
งหนึ
ง เรี
ยกว่
า “อารยธรรมลุ ่
มนํ
าสิ
นธุ
” เป็
นพื
นที่
เกิ
ดก่
อนศาสนาพราหมณ์
และพุ
ทธ มี
ความ
เป็
นอยู
อย่
างสั
งคมเกษตร ที่
มี
การตั
งถิ
นฐานถาวร นั
กโบราณคดี
กล่
าวว่
าชาวลุ
มนํ
าสิ
นธุ
มี
ความเชื่
เฉพาะท้
องถิ
นที่
โดดเด่
น คื
อ การเคารพบู
ชา “เทพมารดา” (Mother Goddess) นิ
ยมทํ
ารู
ปเคารพเป็
ผู
หญิ
ง สะท้
อนให้
เห็
นความสํ
าคั
ญต่
อความอุ
ดมสมบู
รณ์
เที
ยบกั
บการให้
กํ
าเนิ
ดของมารดา แต่
พบว่
มี
การบู
ชาแท่
งหิ
นที่
มี
ลั
กษณะคล้
ายอวั
ยวะเพศชาย (Phallic stone) ควบคู
กั
นไป กระทั ่
งเมื่
อชาว
อารย ั
นได้
อพยพเข้
าสู
พื
นที่
ลุ
มนํ
าสิ
นธุ
พร้
อมนํ
าความเชื่
อแบบ “พระเวท” เข้
ามา จึ
งมี
ผลต่
อการ
เปลี่
ยนแปลง ต่
อผู
คนในสั
งคมแถบนี
เพราะมี
วั
ฒนธรรมและภาษาที่
สู
งกว่
า ทํ
าให้
ประชาชนหั
นไป
นั
บถื
อ “เทพพระเวท” มี
การประกอบพิ
ธี
กรรมมี
ไฟและการท่
องมนต์
เป็
นหั
วใจสํ
าคั
ญ พร้
อมกั
บการ
สั
งเวยเครื่
องบู
ชาย ั
ญ เช่
น พื
ชพั
นธุ
ธั
ญญาหารและสั
ตว์
ต่
าง ๆ นอกจากนี
มี
การสั
งเวยด้
วยเครื่
องดื่
เรี
ยกว่
า “โสมะ” อี
กด้
วย พระเวทเป็
นศาสนาแบบ “พหุ
เทวนิ
ยม” คื
อนั
บถื
อเทพเจ้
ามากมายหลายองค์
และเน้
นให้
ความสํ
าคั
ญกั
บเทพที่
เป็
น “ผู
ชาย” มี
โครงสร้
างทางสั
งคมแบบชนเผ่
า ชํ
านาญการรบ ใช้
อาวุ
ธทํ
าด้
วยเหล็
ก ใช้
รถศึ
ก ขี่
ม้
า ยกย่
องผู
ชายมากเป็
นพิ
เศษ ดั
งนั
น เทพที่
เป็
น “ผู
หญิ
ง” ที่
ยอมรั
บนั
ถื
อมาก่
อนได้
ถู
กลดบทบาทและความสํ
าคั
ญลงไป ส่
วนเทพพระเวทหลายองค์
ได้
พั
ฒนากลายเป็
ศาสนาพราหมณ์
ขยายปรั
ชญาสอดรั
บการเกิ
ดขึ
นของ “คั
มภี
ร์
อุ
ปนิ
ษั
ท” ซึ
งเก่
าแก่
ร่
วมรุ ่
นกั
บสมั
พุ
ทธกาล (เอกสุ
ดา สิ
งค์
ลํ
าพอง. 2553 : 8) ปรั
ชญาศาสนาพราหมณ์
เป็
นปรั
ชญาที่
มี
ความลึ
กซึ
เข้
าใจยาก เมื่
อมี
การประกาศศาสนาพุ
ทธขึ
นในช่
วงเวลานี
โดยเฉพาะในช่
วงพุ
ทธศตวรรษที่
7-8
ความเจริ
ญรุ
งเรื
องของพุ
ทธศาสนา จึ
งได้
รั
บความนิ
ยมอย่
างมาก เพราะศาสนาพุ
ทธปฏิ
เสธระบบ
ชนชั
นทํ
าให้
ศาสนาพราหมณ์
จํ
าต้
องปรั
บเปลี่
ยนตั
วเอง เปลี่
ยนหลั
กปรั
ชญาบางประการ เช่
ลดทอนปรั
ชญาที่
เข้
าใจยาก ให้
เข้
าใจง่
ายขึ
น สามารถเข้
าถึ
งคนทุ
กระดั
บได้
มากขึ
น จนพั
ฒนา
กลายเป็
นศาสนา “ฮิ
นดู
” ตั
วอย่
างคั
มภี
ร์
เล่
มที่
มี
ความสํ
าคั
ญต่
อหลั
กปรั
ชญาในศาสนาฮิ
นดู
คื