งานวิจัย การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญอยู่ 3 ประการ คือ
1. เพื่อค้นหารูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร
2. เพื่อวิเคราะห์ว่า รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครมีลักษณะที่สะสมพอกพูนเป็นมิติเดียวบ้างหรือไม่ หรือมีลักษณะเป็นหลากหลายมิติ
3. เพื่อทดสอบว่า ตัวแบบเชิงสาเหตุและผลที่นำมาใช้ในการศึกษาครั้งนี้มีอำนาจในการอธิบายพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองได้มากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาว่าตัวแปรต่าง ๆ ในกรอบแนวความคิดนั้นจะมีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครหรือไม่อย่างไร และมากน้อยเพียงใด
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับชาติโดยเฉพาะ ซึ่งเก็บและรวบรวมข้อมูลจากเขตเมืองชั้นใน เขตเมืองชั้นกลาง และเขตเมืองชั้นนอกของกรุงเทพมหานครได้แก่ พื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 10 (เขตห้วยขวาง เขตวัฒนา) พื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 9 (เขตคลองเตย) และพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 35 (เขตบางขุนเทียน เขตบางบอน) ตามลำดับ รวมทั้งบุคคลที่เป็นสมาชิกองค์กรต่าง ๆ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ (สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การประปานครหลวง องค์การโทรศัพท์ โรงงานยาสูบ องค์การสื่อสารมวลชน การบินไทย การท่าเรือ ธนาคารกรุงไทย และกลุ่มกิจกรรมคลองเตย อาสาสมัครป้องภัยฝ่ายพลเรือน กลุ่มสร้างสรรค์พัฒนาชุมชนล็อคต่าง ๆ สมาพันธ์ชุนชนแออัดคลองเตย) ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างรวมจำนวนทั้งสิ้น 773 ราย โดยเก็บข้อมูลจากหัวหน้าครัวเรือนผู้ซึ่งมีรายได้ที่แน่นอนจาก การประกอบอาชีพแล้ว พร้อมทั้งเป็นผู้ที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 6 มกราคม 2544 ที่ผ่านมา ส่วนวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นใช้ทั้งการให้ตอบแบบสอบถาม และการสัมภาษณ์ควบคู่กัน
ผลจากการวิจัยนี้พบว่า เมื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นปรากฏว่า เพศ สถานภาพสมรส อายุ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนตัวแปรภูมิลำเนาเดิมจำนวนบุคคลที่อาศัยอยู่ในครัวเรือน ไม่ปรากฏว่ามีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมือง นอกจากนี้หากตัวแปรคู่ใดที่มีความสัมพันธ์กันแล้ว ยังพิจารณาต่อไปอีกว่า ขนาดและทิศทางของความสัมพันธ์นั้นมีลักษณะที่เป็นไปในทางบวกหรือลบ รวมทั้งตัวแปรที่เป็นปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลเหล่านั้นสามารถทำนายหรือประมาณค่าของตัวแปรการมีส่วนร่วมทางการเมืองได้มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้แล้วยังพบว่า รูปแบบพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นไปตามแบบกัตต์แมนที่มีลักษณะสะสม และเป็นมิติเดียว
สำหรับตัวแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผล ที่ได้นำมาเป็นหลักในการวิจัยประกอบไปด้วย
ตัวแปร 6 ตัวแปร ดังนี้
1.สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
2.ความผูกพันกับองค์กร
3.ความรู้สึกในหน้าที่ความเป็นพลเมือง
4.ความรู้สึกในความไว้วางใจทางการเมือง
5.ความรู้สึกในความสามารถทางการเมือง
6.การมีส่วนร่วมทางการเมือง
ผลที่ออกมาชี้ให้เห็นว่าความผูกพันกับองค์กรมีผลกระทบในทางตรง และเป็นผลกระทบในเชิงบวกต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองสูงสุด ส่วนความรู้สึกในหน้าที่ความเป็นพลเมือง ความรู้สึกในความไว้วางใจทางการเมือง ความรู้สึกในความสามารถทางการเมือง และสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ต่างก็มีผลกระทบต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง รองลงมาเป็นลำดับ สำหรับสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม มีผลกระทบในเชิงลบ
ส่วนผลกระทบในทางอ้อมที่มีต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นปรากฏว่า ความรู้สึกในหน้าที่ความเป็นพลเมืองมีผลกระทบสูงสุด ส่วนความผูกพันกับองค์กร สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งความรู้สึกในความไว้วางใจทางการเมือง ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบในทางอ้อม และเป็นผลกระทบในเชิงบวกทั้งสิ้น ยกเว้นแต่ความรู้สึกในความสามารถทางการเมือง ที่ไม่ได้มีผลกระทบในทางอ้อมต่อ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งโดยสรุปแล้วตัวแบบความสัมพันธ์ในเชิงสาเหตุและผลที่ประกอบไปด้วย ตัวแปรสาเหตุทั้งสิ้น 5 ตัวแปรนั้น มีความสามารถที่จะอธิบายความแปรผันของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ได้เป็นจำนวนร้อยละ 22