วัตถุประสงค์การวิจัย
๑) เพื่อศึกษาสภาพการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง โรงเรียน และชุมชน ต่อการป้องกันการเสพยาบ้าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕-๖
๒) เพื่อศึกษาปัญหาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง โรงเรียน และชุมชน ต่อการป้องกันการเสพยาบ้าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕-๖ และ
๓) เพื่อศึกษาการแก้ไขปัญหาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง โรงเรียน และชุมชน ต่อการป้องกันการเสพยาบ้าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕-๖
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษามี ๔ กลุ่ม คือ
๑) ผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕-๖
๒) ผู้อำนวยการ หรืออาจารย์ใหญ่
๓) ครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕-๖ ทั้ง ๓ กลุ่ม ให้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน และ
๔) ชุมชน ได้แก่ เจ้าอาวาส ผู้กำกับการตำรวจนครบาล หัวหน้าศูนย์บริการสาธารณสุขสาขา ผู้ใหญ่บ้าน และประธานคณะกรรมการชุมชน ใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามชนิดปลายปิด และปลายเปิดแบบสัมภาษณ์ โดยแบ่งเป็น ๕ ด้าน คือ การให้การศึกษา การให้บริการข้อมูลข่าวสารการจัดกิจกรรมเสริม การแนะแนวและให้คำปรึกษา และการสร้างสื่อสัมพันธ์ภายในครอบครัว การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ร้อยละและการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
๑) ผู้ปกครองและชุมชนส่วนใหญ่ไม่มีส่วนร่วมทุกขั้นตอนของกิจกรรมการป้องกันการเสพยาบ้าและไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกด้านที่ศึกษา
๒) ผู้อำนวยการหรืออาจารย์ใหญ่ และครูผู้สอนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมน้อย ถึงปานกลางในขั้นการปฏิบัติของทุกด้านที่ศึกษา นอกนั้นในทุกขั้นตอนไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการป้องกันการเสพยาบ้าทุกด้าน
๓) ปัญหาที่สำคัญ คือ ผู้ปกครองไม่มีเวลาร่วมทำกิจกรรมกับโรงเรียนและชุมชน ผู้ปกครองและคนในชุมชนขาดขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และอาคารได้รับความเสียหายจากการเล่นกีฬา กิจกรรมเสริมให้นักเรียนมีน้อย
๔) การแก้ปัญหาใช้ตาข่ายกันความเสียหายจากการเล่นกีฬา ครูและชุมชนหากิจกรรมเสริมเพิ่ม เช่น การซ้อมดนตรีสากล และการซ้อมกลองยาว ในวันเสาร์-อาทิตย์