st122 - page 7

บทที่
1
ภู
มิ
หลั
งการวิ
จั
1.1 ความเป
นมาของการวิ
จั
ประวั
ติ
ศาสตร
ความเป
นมาที่
ยาวนานของชุ
มชนไทยในพื้
นที่
สามจั
งหวั
ดชายแดนภาคใต
ทํ
าให
มี
ลั
กษณะเฉพาะทางภาษาและเอกลั
กษณ
ทางวั
ฒนธรรมของผู
คนที่
ดํ
ารงอยู
ท
ามกลางอาณา
บริ
เวณที่
ศาสนาอิ
สลามเป
นพลั
งชี
วิ
ต วั
ฒนธรรมที่
ทรงอิ
ทธิ
พล กลายเป
นประเด็
นที่
มี
ความสํ
าคั
ทั้
งในประวั
ติ
ศาสตร
การสร
างชาติ
การเมื
องและความมั่
นคง (พุ
ทธิ
ชาติ
โปธิ
บาลและธนานั
นท
ตรง
ดี
อ
างถึ
งในวั
ฒนา สุ
กั
ณศี
ล, 2544: 2)
นอกจากนั้
นMohd. Zamberi A. Malek (อ
างถึ
งในรั
ตติ
ยา สาและ, 2544: 5) กล
าวว
า ดิ
นแดนป
ตตานี
ยะลา และนราธิ
วาส เมื่
อครั้
งเป
นราชอาณาจั
กร
“ปตานี
” นั้
นเคยเจริ
ญรุ
งเรื
องทั้
งทางด
านเศรษฐกิ
จ วั
ฒนธรรม การศึ
กษา และการศาสนา มี
ผู
คน
หลายเชื้
อชาติ
อาศั
ยอยู
ร
วมกั
นเช
น มลายู
ชวา อิ
นเดี
ย จี
น อาหรั
บ จํ
าปา เชื่
อกั
นว
าบรรพบุ
รุ
ษของ
ผู
คนในดิ
นแดนดั
งกล
าว นั
บถื
อลั
ทธิ
บู
ชาภู
ตผี
วิ
ญญาณ (animism) มาก
อน ต
อมามี
การเผยแผ
ศาสนาต
างๆ เข
ามาในดิ
นแดนแถบนี้
เช
น ศาสนาพราหมณ
ฮิ
นดู
พุ
ทธ และอิ
สลาม ซึ่
งสอดคล
อง
กั
บคํ
ากล
าวของ ครองชั
ย หั
ตถา (2552) ถึ
งประวั
ติ
ศาสตร
ของคนมุ
สลิ
มในสามจั
งหวั
ดชายแดน
ภาคใต
มี
พั
ฒนาการของความเชื่
อและศาสนาเริ่
มจากยุ
คก
อนประวั
ติ
ศาสตร
ลั
งกาสุ
กะ ซึ่
งดิ
นแดน
แถบนี้
เป
นที่
อยู
ของชนพื้
นเมื
อง หรื
อ โอรั
งอั
สลี
เช
น ซาไกและเซมั
ง ซึ่
งชนเหล
านั้
นยั
งไม
มี
การนั
ถื
อศาสนาใดๆ หลั
งจากนั้
นในยุ
คเริ่
มต
นประวั
ติ
ศาสตร
ราว 2 พั
นป
ถึ
ง พ.ศ. 700 ป
มี
ชาวอิ
นเดี
เดิ
นทางมาในแถบนี้
นํ
าศาสนาและวั
ฒนธรรมมาเผยแพร
ด
วย ซึ่
งปรากฏรอยศาสนาพราหมณ
และ
การค
าตามปากน้ํ
าขยายเป
นชุ
มชนเป
นเมื
องท
าที่
สํ
าคั
ญพอเข
ายุ
คอาณาจั
กรโบราณลั
งกาสุ
กะหรื
ลั
งยาซู
(Lang Ya Shiu) มี
ปรากฏราว พ.ศ. 700 -1400 ป
ช
วงต
นพุ
ทธศตวรรษที่
11-14 ลั
งกาสุ
กะเป
นรั
ฐอิ
สระ เป
นยุ
ครุ
งเรื
องมี
แหล
งโบราณลั
งกาสุ
กะที่
ท
าสาป จั
งหวั
ดยะลา และอํ
าเภอยะรั
จั
งหวั
ดป
ตตานี
ได
รั
บอิ
ทธิ
พลมาจากศาสนาพราหมณ
และพระพุ
ทธศาสนาหลั
งจากนั้
นเป
นยุ
คของ
อาณาจั
กรศรี
วิ
ชั
ย มี
กองทั
พเรื
ออั
นเกรี
ยงไกรและเป
นยุ
ครุ
งเรื
องของพุ
ทธฝ
ายมหายาน ชาวลั
งกาสุ
กะก็
นั
บถื
อพุ
ทธมหายานด
วย มี
ศาสนสถานทางพุ
ทธสร
างขึ้
นหลายแห
งบนคาบสมุ
ทรมลายู
รวมถึ
พระนอนองค
ใหญ
ในวั
ดถ้ํ
าคู
หาภิ
มุ
ข จั
งหวั
ดยะลาด
วย หลั
งจากนั้
น ในป
พ.ศ. 1836 เป
นยุ
คของ
อาณาจั
กรมั
ชปาหิ
ต ซึ่
งเป
นอาณาจั
กรฮิ
นดู
ช
วงนี้
มี
พ
อค
าชาวอาหรั
บและนั
กเผยแพร
ศาสนานํ
ศาสนาอิ
สลามเข
ามามากขึ้
นในแถบนี้
ต
อมาไม
นานอาณาจั
กรมั
ชปาหิ
ตก็
แผ
อํ
านาจมาปกครอง
โดยลั
งกาสุ
กะก็
อยู
ใต
ปกครองด
วย ในป
พ.ศ. 1884-1907 การเผยแพร
ศาสนาอิ
สลามเข
ามามาก
ขึ้
นโดยเฉพาะบริ
เวณเมื
องปาไซและมะละกา และในป
พ.ศ. 1998 กองทั
พมะละกาบุ
กตี
เมื
องโก
ตามหลิ
ฆั
ยเป
นเมื
องหน
าด
านของลั
งกาสุ
กะได
และขยายอํ
านาจปกครองทั่
วหั
วเมื
องแหลม
มลายู
ทํ
าให
ชาวเมื
องหั
นมานั
บถื
อศาสนาอิ
สลามตามมะละกาเพิ่
มขึ้
นเรื่
อยๆ และต
อมาในป
พ.ศ.
2000 พญาอิ
นทิ
ราราชโอรสของราชาศรี
วั
งสาแห
งเมื
องโกตามหลิ
ฆั
ยได
สร
างเมื
องใหม
ชื่
อปตานี
ตั้
งอยู
ริ
มทะเลบ
านกรื
อเซะ บานา และหั
นมานั
บถื
อศาสนาอิ
สลามเปลี่
ยนชื่
อเป
น สุ
ลต
าน อิ
สมา
1,2,3,4,5,6 8,9,10,11,12,13,14,15,16,17,...71
Powered by FlippingBook