บทที่
1
ภู
มิ
หลั
งการวิ
จั
ย
1.1 ความเป
นมาของการวิ
จั
ย
ประวั
ติ
ศาสตร
ความเป
นมาที่
ยาวนานของชุ
มชนไทยในพื้
นที่
สามจั
งหวั
ดชายแดนภาคใต
ทํ
าให
มี
ลั
กษณะเฉพาะทางภาษาและเอกลั
กษณ
ทางวั
ฒนธรรมของผู
คนที่
ดํ
ารงอยู
ท
ามกลางอาณา
บริ
เวณที่
ศาสนาอิ
สลามเป
นพลั
งชี
วิ
ต วั
ฒนธรรมที่
ทรงอิ
ทธิ
พล กลายเป
นประเด็
นที่
มี
ความสํ
าคั
ญ
ทั้
งในประวั
ติ
ศาสตร
การสร
างชาติ
การเมื
องและความมั่
นคง (พุ
ทธิ
ชาติ
โปธิ
บาลและธนานั
นท
ตรง
ดี
อ
างถึ
งในวั
ฒนา สุ
กั
ณศี
ล, 2544: 2)
นอกจากนั้
นMohd. Zamberi A. Malek (อ
างถึ
งในรั
ตติ
ยา สาและ, 2544: 5) กล
าวว
า ดิ
นแดนป
ตตานี
ยะลา และนราธิ
วาส เมื่
อครั้
งเป
นราชอาณาจั
กร
“ปตานี
” นั้
นเคยเจริ
ญรุ
งเรื
องทั้
งทางด
านเศรษฐกิ
จ วั
ฒนธรรม การศึ
กษา และการศาสนา มี
ผู
คน
หลายเชื้
อชาติ
อาศั
ยอยู
ร
วมกั
นเช
น มลายู
ชวา อิ
นเดี
ย จี
น อาหรั
บ จํ
าปา เชื่
อกั
นว
าบรรพบุ
รุ
ษของ
ผู
คนในดิ
นแดนดั
งกล
าว นั
บถื
อลั
ทธิ
บู
ชาภู
ตผี
วิ
ญญาณ (animism) มาก
อน ต
อมามี
การเผยแผ
ศาสนาต
างๆ เข
ามาในดิ
นแดนแถบนี้
เช
น ศาสนาพราหมณ
ฮิ
นดู
พุ
ทธ และอิ
สลาม ซึ่
งสอดคล
อง
กั
บคํ
ากล
าวของ ครองชั
ย หั
ตถา (2552) ถึ
งประวั
ติ
ศาสตร
ของคนมุ
สลิ
มในสามจั
งหวั
ดชายแดน
ภาคใต
มี
พั
ฒนาการของความเชื่
อและศาสนาเริ่
มจากยุ
คก
อนประวั
ติ
ศาสตร
ลั
งกาสุ
กะ ซึ่
งดิ
นแดน
แถบนี้
เป
นที่
อยู
ของชนพื้
นเมื
อง หรื
อ โอรั
งอั
สลี
เช
น ซาไกและเซมั
ง ซึ่
งชนเหล
านั้
นยั
งไม
มี
การนั
บ
ถื
อศาสนาใดๆ หลั
งจากนั้
นในยุ
คเริ่
มต
นประวั
ติ
ศาสตร
ราว 2 พั
นป
ถึ
ง พ.ศ. 700 ป
มี
ชาวอิ
นเดี
ย
เดิ
นทางมาในแถบนี้
นํ
าศาสนาและวั
ฒนธรรมมาเผยแพร
ด
วย ซึ่
งปรากฏรอยศาสนาพราหมณ
และ
การค
าตามปากน้ํ
าขยายเป
นชุ
มชนเป
นเมื
องท
าที่
สํ
าคั
ญพอเข
ายุ
คอาณาจั
กรโบราณลั
งกาสุ
กะหรื
อ
ลั
งยาซู
(Lang Ya Shiu) มี
ปรากฏราว พ.ศ. 700 -1400 ป
ช
วงต
นพุ
ทธศตวรรษที่
11-14 ลั
งกาสุ
กะเป
นรั
ฐอิ
สระ เป
นยุ
ครุ
งเรื
องมี
แหล
งโบราณลั
งกาสุ
กะที่
ท
าสาป จั
งหวั
ดยะลา และอํ
าเภอยะรั
ง
จั
งหวั
ดป
ตตานี
ได
รั
บอิ
ทธิ
พลมาจากศาสนาพราหมณ
และพระพุ
ทธศาสนาหลั
งจากนั้
นเป
นยุ
คของ
อาณาจั
กรศรี
วิ
ชั
ย มี
กองทั
พเรื
ออั
นเกรี
ยงไกรและเป
นยุ
ครุ
งเรื
องของพุ
ทธฝ
ายมหายาน ชาวลั
งกาสุ
กะก็
นั
บถื
อพุ
ทธมหายานด
วย มี
ศาสนสถานทางพุ
ทธสร
างขึ้
นหลายแห
งบนคาบสมุ
ทรมลายู
รวมถึ
ง
พระนอนองค
ใหญ
ในวั
ดถ้ํ
าคู
หาภิ
มุ
ข จั
งหวั
ดยะลาด
วย หลั
งจากนั้
น ในป
พ.ศ. 1836 เป
นยุ
คของ
อาณาจั
กรมั
ชปาหิ
ต ซึ่
งเป
นอาณาจั
กรฮิ
นดู
ช
วงนี้
มี
พ
อค
าชาวอาหรั
บและนั
กเผยแพร
ศาสนานํ
า
ศาสนาอิ
สลามเข
ามามากขึ้
นในแถบนี้
ต
อมาไม
นานอาณาจั
กรมั
ชปาหิ
ตก็
แผ
อํ
านาจมาปกครอง
โดยลั
งกาสุ
กะก็
อยู
ใต
ปกครองด
วย ในป
พ.ศ. 1884-1907 การเผยแพร
ศาสนาอิ
สลามเข
ามามาก
ขึ้
นโดยเฉพาะบริ
เวณเมื
องปาไซและมะละกา และในป
พ.ศ. 1998 กองทั
พมะละกาบุ
กตี
เมื
องโก
ตามหลิ
ฆั
ยเป
นเมื
องหน
าด
านของลั
งกาสุ
กะได
และขยายอํ
านาจปกครองทั่
วหั
วเมื
องแหลม
มลายู
ทํ
าให
ชาวเมื
องหั
นมานั
บถื
อศาสนาอิ
สลามตามมะละกาเพิ่
มขึ้
นเรื่
อยๆ และต
อมาในป
พ.ศ.
2000 พญาอิ
นทิ
ราราชโอรสของราชาศรี
วั
งสาแห
งเมื
องโกตามหลิ
ฆั
ยได
สร
างเมื
องใหม
ชื่
อปตานี
ตั้
งอยู
ริ
มทะเลบ
านกรื
อเซะ บานา และหั
นมานั
บถื
อศาสนาอิ
สลามเปลี่
ยนชื่
อเป
น สุ
ลต
าน อิ
สมา